tag:blogger.com,1999:blog-87538767774875758742024-03-13T04:39:13.979-07:00โลกศึกษาOnanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-6998621969298862592012-06-24T02:57:00.002-07:002012-06-24T02:57:45.667-07:00ความหลากหลายทางวัฒนธรรม<b></b><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-Mi2cEpdbARU/T-bkCmB-G1I/AAAAAAAAADA/gNTWSdFlPpw/s1600/545555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="259" src="http://4.bp.blogspot.com/-Mi2cEpdbARU/T-bkCmB-G1I/AAAAAAAAADA/gNTWSdFlPpw/s320/545555.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-VQKM9nnzS9I/T-bkEXiS6VI/AAAAAAAAADI/mg1moUwQpWw/s1600/454545.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="208" src="http://2.bp.blogspot.com/-VQKM9nnzS9I/T-bkEXiS6VI/AAAAAAAAADI/mg1moUwQpWw/s320/454545.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<b><span style="color: #e06666; font-size: x-large;">ความหลากหลายทางวัฒนธรรม</span></b> <br />
<br />
เป็นความเชื่อที่ค่อนตรงกันให้หมู่<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2" title="นักมานุษยวิทยา">นักมานุษยวิทยา</a>ว่ามนุษย์มีกำเนิดใน<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2" title="ทวีปแอฟริกา">ทวีปแอฟริกา</a>เมื่อประมาณ 2 ล้านมาแล้ว จากนั้นได้เริ่มกระจายตัวไปทั่วโลก ประสบความสำเร็จในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย และบ่อยครั้งที่ต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากภัยพิบัติร้ายแรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศทั้งในระดับพื้นถิ่นและระดับทั่วโลก สังคมที่แยกจากห่างกันที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ ของโลกมีความแตกต่างกันชัดเจน และความแตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมยังคงมีความต่อเนื่องสืบมาถึงปัจจุบัน<br />
แม้<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" title="ความแตกต่างทางวัฒนธรรม">ความแตกต่างทางวัฒนธรรม</a>หรือ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" title="เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม">เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม</a>ระหว่างหมู่ชนจะยังคงมีอยู่ เช่นความแตกต่างทาง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2" title="ภาษา">ภาษา</a> <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1" title="การแต่งกาย (หน้านี้ไม่มี)">การแต่งกาย</a>และ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5" title="ประเพณี">ประเพณี</a>ก็ตาม แต่ในความแตกต่างที่หลากหลายในสังคมต่างๆ ก็ยังปรากฏให้เห็นความคล้ายในตัวของสังคมที่หลากหลาย คือแนวคิดทาง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" title="ศีลธรรม">ศีลธรรม</a>และวิธีที่กลุ่มชนในสังคมมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม <i>โจ เนลสัน</i>จากแสตมฟอร์ด <a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2" title="เวอร์จิเนีย">เวอร์จิเนีย</a>เป็นผู้ทำให้วลี "<i><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" title="วัฒนธรรม">วัฒนธรรม</a>และความหลากหลาย</i>" เป็นที่รู้จักแพร่หลายในช่วงที่เขาอยู่ในแอฟริกา เป็นที่ถกเถียงกันว่าความแตกต่างเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งมนุษย์สร้างที่เกิดขึ้นตามธรรมดาอยู่แล้วตามรูปแบบของ<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" title="การย้ายถิ่นของมนุษย์ (หน้านี้ไม่มี)">การย้ายถิ่นของมนุษย์</a>ไปในที่ต่างๆ หรือว่านี่คือตัวการที่เป็นหัวใจของของการสืบสายพันธ์ในช่วง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3" title="วิวัฒนาการ">วิวัฒนาการ</a>ที่ทำให้สายพันธุ์ของมนุษย์ประสบความสำเร็จมากกว่าสัตว์พันธุ์อื่นๆ ด้วยการเทียบเทียบแนวกับ "<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E" title="ความหลากหลายทางชีวภาพ">ความหลากหลายทางชีวภาพ</a>" ที่เชื่อกันว่ามีความสำคัญยิ่งยวดต่อการมีชีวิตรอดในระยะยาวของทุกชีวิตบนโลก ความหลากหลายทางวัฒนธรรมย่อมมีความสำคัญยิ่งต่อการอยู่รอดในระยะยาวของมวลมนุษยชาติด้วย นั่นคือ <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" title="การอนุรักษ์ (หน้านี้ไม่มี)">การอนุรักษ์</a><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="วัฒนธรรมพื้นถิ่น (หน้านี้ไม่มี)">วัฒนธรรมพื้นถิ่น</a>ไว้ย่อมมีความสำคัญเท่าๆ กันกับกับการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์และ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8" title="ระบบนิเวศ">ระบบนิเวศ</a>เพื่อให้สิ่งมีชีวิตบนโลกโดยรวมอยู่ได้<br />
บทอภิปรายนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากหลายฝ่ายด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ประการแรก เช่นเดียวกับความน่าเชื่อของการวิวัฒนาการตาม<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" title="ธรรมชาติของมนุษย์ (หน้านี้ไม่มี)">ธรรมชาติของมนุษย์</a> ความสำคัญของความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เป็นสิ่งทำให้มนุษย์อยู่รอดได้ยังคงเป็น<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A&action=edit&redlink=1" title="สมมุติฐานที่ยังไม่ได้รับการทดสอบ (หน้านี้ไม่มี)">สมมุติฐานที่ยังไม่ได้รับการทดสอบ</a>ซึ่งอาจไม่มีความชอบธรรมทางจรรยาบรรณที่จะอนุรักษ์ "สังคมที่ยังพัฒนาน้อย" ไว้เพราะอาจเป็นการห้ามผู้คนในสังคมนั้นไม่ให้ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์ที่สร้างความสะดวกสบายและสวัสดิภาพแก่ "สังคมพัฒนาแล้ว" ประการสุดท้าย มีชนหลายหมู่โดยเฉพาะที่หมู่ชนมีความเชื่อทาง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2" title="ศาสนา">ศาสนา</a>อย่างแรงกล้า ที่เชื่อว่าศาสนานั้นคือสิ่งที่ให้คุณประโยชน์ที่ดีที่สุดแก่ตัวบุคคลและมวลมนุษย์โดยรวม ดังนั้นจึงควรมุ่งติดอยู่กับรูปแบบการดำรงชีวิตเพียงแบบเดียวที่หมู่ชนนั้นๆ เห็นว่าถูกต้องที่สุด ตัวอย่างเช่น องค์การสอนศาสนา "ฟันดาเมนทอลลิสต์อีแวนเจลิสต์" เช่น "นิวไทรบ์มิสชัน" ซึ่งทำงานอย่างแข็งขันเพื่อลดความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยการเลือก<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1" title="สังคมชนเผ่า (หน้านี้ไม่มี)">สังคมชนเผ่า</a>ที่อยู่ห่างไกล จับพวกชนเผ่าเหล่านั้นเข้ารีตกับความเชื่อของพวกเขาเองแล้วโน้มนำให้ชนเผ่าเหล่านั้นปรับเปลี่ยนรูปแบบสังคมของตนเองตามหลักการของพวกเขาเอง<br />
การแจงนับความหลากหลายทางวัฒนธรรมนับเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ตัวบ่งชี้ที่นับได้ว่าใช้ได้ดีตัวหนึ่งคือการนับจำนวนภาษาที่ใช้พูดในภูมิภาคนั้น หรือในโลกโดยรวม วิธีการนี้ จะช่วยให้มองเห็นระยะของการถดถอยที่รวดเร็วขึ้นในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโลก งานวิจัยที่ทำเมื่อช่วงทศวรรษ 1990 (พ.ศ. 2524-2533) โดย<i>เดวิด คริสทัล</i> (<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C" title="ศาสตราจารย์">ศาสตราจารย์</a>เกียรติคุณสาขา<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C" title="ภาษาศาสตร์">ภาษาศาสตร์</a> แห่งมหาวิทยาลัยแห่งเวลส์ บังกอร์) เสนอแนะในขณะนั้นว่า โดยเฉลี่ยในทุกสองสัปดาห์จะมีภาษาหนึ่งภาษาที่ถูกเลิกใช้ไป คริสทัลคำนวณว่า ถ้า<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1" title="การตายของภาษา (หน้านี้ไม่มี)">การตายของภาษา</a>อยู่ในอัตรานี้อย่างต่อเนื่อง เมื่อถึง พ.ศ. 2643 ภาษาที่ใช้พูดในโลกปัจจุบันจะสูญหายไปมากกว่าร้อยละ 90<br />
<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="ประชากรที่มากเกิน (หน้านี้ไม่มี)">ประชากรที่มากเกิน</a>ไป <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="การย้ายถิ่น (หน้านี้ไม่มี)">การย้ายถิ่น</a>และ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1" title="จักรวรรดินิยม">จักรวรรดินิยม</a> (ทั้งทางการทหารและเชิงวัฒนธรรม) คือสาเหตุที่นำมาใช้อธิบายการลดถอยของจำนวนภาษาดังกล่าว<br />
มีองค์การนานาชาติหลายองค์การที่กำลังพยายามทำงานเพื่อปกป้องการคุกคามดังกล่าวที่มีต่อสังคมและวัฒนธรรมซึ่งรวมถึงหน่วยงาน "สืบชีวิตนานาชาติ" (Survival International) และ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81" title="ยูเนสโก">ยูเนสโก</a>ได้ออก "ประกาศสากลยูเนสโกว่าด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม" (The UNESCO Universal Declaration on Cultural Diversity) โดยได้รับการยอมรับโดยประเทศสมาชิก 185 ประเทศเมื่อ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2544" title="พ.ศ. 2544">พ.ศ. 2544</a> ยอมรับให้มีการกำหนดมาตรฐานนานาชาติเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการพิทักษ์รักษาและส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและบทโต้ตอบระหว่างวัฒนธรรม<br />
<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9B" title="สหภาพยุโรป">สหภาพยุโรป</a>ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เครือข่ายแห่งความป็นเลิศ "การพัฒนาอย่างยั่งยืนในโลกที่มีความหลากหลาย" (Sustainable Development in a Diverse World -SUS.DIV) SUS.DIV สร้างขึ้นด้วยประกาศยูเนสโกที่จะสอบสวนความสัมพันธ์ระหว่างความหลากหลายทาง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" title="วัฒนธรรม">วัฒนธรรม</a>และ<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="การพัฒนาแบบยั่งยืน (หน้านี้ไม่มี)">การพัฒนาแบบยั่งยืน</a>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-41115696016930969952012-06-24T02:47:00.001-07:002012-06-24T02:47:36.106-07:00การพัฒนาที่ยั่งยืน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-Pt-8Mb4hlN4/T-bhg3L3b8I/AAAAAAAAAC0/DyQ9cTs0gUA/s1600/78778.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="245" src="http://3.bp.blogspot.com/-Pt-8Mb4hlN4/T-bhg3L3b8I/AAAAAAAAAC0/DyQ9cTs0gUA/s320/78778.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;">
<span style="color: black; font-family: "Angsana New";"><span lang="TH"></span></span> </div>
<span style="font-size: x-large;">
<span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New";"><span style="color: #f1c232;">การพัฒนาที่ยั่งยืน (</span></span></span><span style="color: black; font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: #f1c232; font-size: x-large;">Sustainable
Development)</span> <span lang="TH">หมายถึง </span>“<span lang="TH">การตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน
โดยไม่มีผลกระทบในทางลบต่อความต้องการของคนรุ่นต่อไปในอนาคต</span>” <br /><br /><span lang="TH">เนื่องจากทุกครั้งที่มีการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน
ต้องมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลกระทบในทางลบต่ออนาคต
การพัฒนาที่ยั่งยืนจึงเป็นแนวคิดในการแก้ปัญหานี้
โดยการพยายามอนุรักษ์ธรรมชาติไว้ในลักษณะที่เป็นส่วนรวมหรือมหภาค คือ
หากมีความจำเป็นที่จะดำเนินการให้กระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในที่ใดที่หนึ่ง
ก็จะต้องเสริมสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมในที่อื่นๆ
เป็นการชดเชยเพื่อให้ในแง่มหภาคของคุณภาพสิ่งแวดล้อมคงอยู่ได้ดังเดิม</span>
</span><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;">
<b><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New";"><span style="color: #f1c232; font-size: x-large;">การพัฒนาที่ยั่งยืน: การพัฒนายุคโลกาภิวัตน์</span> </span></b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><br /><br /><span style="color: black;"><span lang="TH">กระแสโลกาภิวัตน์ (</span>Globalization) <span lang="TH">ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และกลไกการตลาด ก่อให้เกิดการเติบโต การผลิต
การบริโภคที่เป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณ ดังนั้น
การที่มนุษย์ยังคงใช้แนวทางพัฒนาแบบเก่าซึ่งไม่คำนึงถึงข้อจำกัดในการพัฒนา
อันหมายถึง ข้อจำกัดด้านสภาพ ความสามารถที่จะรองรับการบริโภค
และการใช้ประโยชน์จากโลก และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่จะนำมาบริโภค
และใช้ประโยชน์หมดลง อีกไม่นานทุกชีวิตบนโลกจะต้องจบสิ้น
เพราะมนุษย์จะไม่สามารถอาศัยอยู่บนโลกได้อีกต่อไป การพัฒนาที่ยั่งยืน
จึงเป็นแนวคิดเพื่อป้องกันมิให้โลกต้องเดินไปสู่จุดจบ</span> </span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 12pt; mso-margin-top-alt: auto;">
<b><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New";"><span style="color: #f1c232; font-size: x-large;">มาตรการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน</span> </span></b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><br /><br /><span style="color: black;"><span lang="TH">ความล้มเหลวของการพัฒนาแบบดั้งเดิมที่ผ่านมา
นอกจากจะทำลายสิ่งแวดล้อม ชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณแล้ว
ยังพบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของหลายประเทศ ได้สร้างปัญหาให้กับความเป็นอยู่ของมนุษย์
และวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างมหาศาล เนื่องจากรัฐบาลไม่รับผิดชอบ
ไม่ฉับไวต่อการตอบสนองความต้องการของประชาชน ระบบราชการมีคอร์รัปชันสูง
ขาดประสิทธิภาพ ไม่มีความโปร่งใส ฯลฯ</span> <br /><br /><span lang="TH">นานาชาติจึงได้ประชุมร่วมกันเพื่อแสวงหาแนวคิดที่เป็นกลางที่สุดมาเยียวยา
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ผลสรุปที่ได้คือ ทั่วโลกควรปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาเสียใหม่
โดยจะต้องยกเลิกการพัฒนาซึ่งรัฐเป็นผู้ชี้นำและออกคำสั่งแต่เพียงฝ่ายเดียว ในลักษณะ
รัฐประชาชาติ (</span>Nation State) <span lang="TH">โดยปรับเปลี่ยนเป็น ประชารัฐ
(</span>Civil State) <span lang="TH">ซึ่งเป็น</span> “<span lang="TH">ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างรัฐกับประชาชนในลักษณะที่เป็นประชาสังคม</span>”
<br /><br /><b><span lang="TH">ประชาสังคม </span></b><span lang="TH">หรือ </span>Civil
Society <span lang="TH">คือ การพัฒนาที่เกิดขึ้นจากความริเริ่มของประชาชน โดยประชาชน
และเพื่อประชาชน โดยทุกฝ่ายในสังคมต่างให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทั้งภาครัฐ
ภาคเอกชน และประชาชน คำว่า </span>“ <b><span lang="TH">ประชารัฐ </span></b>” <span lang="TH">จึงหมายถึง รัฐซึ่งมีรัฐบาล เอกชน
และประชาชนร่วมมือกันในทุกเรื่องที่เป็นสาธารณะ นั่นเอง</span> <br /><br /><span lang="TH">ดังนั้น
การที่แนวคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนจะสำเร็จลงได้หรือไม่อย่างไรนั้น
ทุกประเทศจะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญ รัฐบาลในหลายๆ
ประเทศจะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่
จากที่เคยมองว่ารัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน
รัฐบาลจึงสามารถควบคุมและครอบงำประชาชนให้ปฏิบัติตามคำสั่งได้
มาเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือชุมชนมีส่วนร่วม
ทั้งในระดับการร่วมรับรู้การตัดสินใจขององค์กรของรัฐ และในระดับการร่วมตัดสินใจ
และจะต้องมีการตกลงกันให้ชัดเจนว่าสัดส่วนของบทบาทภาครัฐ ภาคเอกชน
และภาคประชาชนในการพัฒนานั้นควรจะเป็นลักษณะใด หรือที่เรียกว่า </span>“<span lang="TH">ประชารัฐ</span>” <span lang="TH">นั่นเอง</span> <br /><br /><span lang="TH">และเพื่อให้การพัฒนาที่ยั่งยืนสามารถแทรกเข้าไปในทุกส่วนของสังคมโลก
เมื่อเริ่มต้นทศตวรรษที่ </span>1980 <span lang="TH">องค์การสหประชาชาติ
จึงเสนอให้ประเทศกำลังพัฒนาที่ประสบความล้มเหลวในการพัฒนาตามที่กล่าวมาข้างต้น
เร่งปฏิรูประบบเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการปฏิรูปการเมือง การบริหาร การศึกษา
การขจัดและลดความยากจน การส่งเสริมให้มีการบูรณาการทางการผลิต ทางการเกษตร
การสร้างงาน ที่พอเพียงกับการเติบโตของประชากร การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
และการลดอัตราการขยายตัวของประชากร ฯลฯ โดยนำระบบการจัดการที่ดี
มาใช้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อให้การพัฒนามีภาพของอนาคตที่เป็นรูปธรรม
<b>วิธีการดังกล่าวนั้นเรียกว่า ธรรมาภิบาล ธรรมรัฐ
การสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี หรือ </b></span><b>Good
Governance </b><br /><br /><span lang="TH">โดยความหมายของ </span>“ <b>Good Governance
</b>” <span lang="TH">นี้ แต่เดิมธนาคารโลก หรือ </span>World Bank <span lang="TH">ได้ให้คำนิยามไว้ว่า <b>หมายถึง </b></span>“<span lang="TH">ลักษณะและวิถีทางของการใช้อำนาจรัฐในการจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อการพัฒนา</span>”
<br /><span lang="TH">ส่วน </span>Commission on Global Governance <span lang="TH">ได้ให้คำนิยามคำว่า </span>“Governance” <span lang="TH">ไว้ในเอกสารชื่อ
</span>Our Global Neighbourhood <span lang="TH">ว่า หมายถึง
ผลลัพธ์ของการจัดการกิจกรรม ซึ่งบุคคลและสถาบันทั้งภาครัฐและเอกชนมีผลประโยชน์
ได้กระทำลงในหลายทิศทาง โดยมีลักษณะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งอาจจะนำไปสู่การผสมผสานผลประโยชน์ที่หลากหลายและขัดแย้งกันได้
ด้วยการร่วมมือกันจัดการในเรื่องนั้น</span> <br /><br /><b><span style="font-size: x-large;"><span style="color: #f1c232;"><span lang="TH">วิธีการจัดการดังกล่าว </span>UNDP <span lang="TH">ได้นำเสนอไว้ </span>7
</span></span><span lang="TH"><span style="color: #f1c232; font-size: x-large;">ประการ</span> </span></b></span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 12pt; mso-margin-top-alt: auto;">
<span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">โดยกล่าวไว้ว่า องค์ประกอบทั้ง </span><span style="color: black; font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">7 <span lang="TH">ประการต่อไปนี้ ควรถูกกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาของประเทศโลกที่
</span>3 <span lang="TH">ซึ่งได้แก่</span> <br /><b>1. </b><span lang="TH">ประชาชนจะต้องยอมรับในความชอบธรรมของรัฐบาล</span> (Legitimacy) <span lang="TH">และ รัฐบาลจะต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชนในกิจการที่ได้กระทำลงไป</span>
(Accountability) <br /><b>2. </b><span lang="TH">ประชาชนจะต้องมีอิสระเสรีภาพในการรวมกลุ่ม และในการมีส่วนร่วม
(</span>Freedom of Association and Participation) <br /><b>3. </b><span lang="TH">จะต้องมีกรอบแห่งกฎหมายที่ชัดเจน และเป็นระบบที่ก่อให้เกิดสภาวะที่มั่นคง
เป็นหลักประกันต่อชีวิตและการทำงานของพลเมือง
รวมทั้งเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อผู้ประกอบการ และเกษตรกร นอกจากนี้
กฎหมายจะต้องปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเสมอหน้ากัน ทั้งนี้โดยกฎหมาย กฎ ระเบียบ
ข้อบังคับต่างๆ จะต้องเปิดเผยเป็นที่รู้กันล่วงหน้า
ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด มีวิธีการที่ประกันการบังคับใช้กฎหมาย
การตัดสิน ข้อขัดแย้งต้องเป็นการตัดสินใจโดยฝ่ายตุลาการที่เป็นอิสระและเชื่อถือได้
รวมถึงจะต้องมีกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ได้
เมื่อหมดประโยชน์ ใช้สอย</span> <br /><br /><b>4. </b><span lang="TH">ระบบราชการจะต้องรับผิดชอบต่อการดำเนินกิจการต่างๆ (</span>Bureaucratic
Accountability) <span lang="TH">โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการงบประมาณของรัฐซึ่งจะต้องมีการควบคุม
ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งของรัฐและบุคลากร
เพื่อป้องกันมิให้ใช้ทรัพยากรโดยมิชอบ ทั้งนี้จะต้องมีความโปร่งใส
(</span>Transparency) <span lang="TH">ในการปฏิบัติราชการทุกระดับ</span>
<br /><br /><b>5. </b><span lang="TH">จะต้องมีข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือ
โดยรัฐบาลจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เช่น
ด้านรายได้ประชาชาติ ดุลการชำระเงิน สภาพการจ้างงาน
และดัชนีค่าครองชีพเป็นต้น</span> <br /><br /><b>6. </b><span lang="TH">จะต้องมีการบริหารงานภาครับอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล</span>
<br /><br /><b>7. </b><span lang="TH">จะต้องมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลกับองค์กรของประชาสังคม
ซึ่งหมายถึง องค์กรประชาชน (</span>People's organization) <span lang="TH">และองค์กรอาสาสมัครเอกชน (</span>NGOs) <br /><br /><span lang="TH">องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้นเป็นมิติใหม่ของการจัดการพัฒนาโดยเน้นคนเป็นศูนย์กลาง
เป็นแนวทางที่ทุกส่วนในโลกจะต้องผนึกกำลังให้เป็นกระแสหลัก
โดยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโลกทัศน์ของผู้นำทุกระดับ (ทั้งภูมิภาค ชาติ
ชุมชน) ไปเป็น <b>แบบพหุนิยมองค์รวม (</b></span><b>Holistic Pluralism) <span lang="TH">ด้วย มิใช่เอกนิยมองค์รวม </span></b><br /><br /><span lang="TH">สำหรับประเทศไทย นักคิด นักวิชาการ ได้ร่วมกันเปิดเวทีความคิด แถลง
และตีความแนวคิดเรื่องธรรมรัฐ
จนกระทั่งถูกนำไปกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ </span>8
(<span lang="TH">พ.ศ. </span>2540 - 2544) <span lang="TH">ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประชารัฐ
ได้อาศัยหลักคิดดังกล่าวเป็นแนวทางสำคัญในการประยุกต์ใช้ยุทธศาสตร์สำคัญ
ในการพัฒนาสังคมไทยให้มีความเข้มแข็งมากกว่าที่เป็นอยู่
โดยเฉพาะการเน้นสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชน การพัฒนาประสิทธิภาพของรัฐ
และระบบราชการ ให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้</span> <br /><br /><span lang="TH">และหากพิจารณาประกอบกับโครงสร้างของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี</span>
2540 <span lang="TH">แล้ว จะพบว่า </span>“<span lang="TH">หลักธรรมรัฐ</span>” <span lang="TH">ได้ถูกบรรจุไว้อย่างชัดเจนในเรื่องต่างๆ เช่น
การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการให้อำนาจรัฐเพิ่มขึ้น
ตลอดทั้งปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มี เสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</span>
<br /><br /><span lang="TH">นอกจากนี้รัฐบาลยังได้มอบให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
(</span>TDRI) <span lang="TH">ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีตามแนวทางธรรมรัฐ</span>
(Good Governance) <br /><br /><span lang="TH">จนกระทั่งสำนักงาน ก.พ.
ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ประชุม
เมื่อวันที่ </span>11 <span lang="TH">พฤษภาคม </span>2542 <span lang="TH">ลงมติเห็นชอบวาระแห่งชาติ
สำหรับการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
และออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี
พ.ศ. </span>2542 <span lang="TH">โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง จัดทำแผน
และโครงการในการปรับปรุงงานที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล</span>
<br /><span lang="TH">ซึ่ง <b>หลักธรรมาภิบาล </b></span><b>6 <span lang="TH">ประการ
ตามแนวทางของสำนักงาน ก.พ. ได้แก่ </span></b><br />- <span lang="TH">หลักนิติธรรม</span> <br />- <span lang="TH">หลักคุณธรรม</span> <br />- <span lang="TH">หลักความโปร่งใส</span> <br />- <span lang="TH">หลักการมีส่วนร่วม</span>
<br />- <span lang="TH">หลักความรับผิดชอบ</span> <br />- <span lang="TH">และหลักความคุ้มค่า</span> <br /><span lang="TH">และให้สำนักงาน ก.พ.
รวบรวมและประเมินผลเพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป</span> </span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<b><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New";"><span style="color: #f1c232; font-size: x-large;">แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน</span></span></b><b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"></span></b></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">ปรัชญาและอุดมการณ์ในการพัฒนาจะต้องอยู่ในพื้นฐานหลักการที่เรียกว่า "
ความยุติธรรมระหว่างคน </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">2 <span lang="TH">ยุค "
หรือแนวคิดของ การพัฒนาที่ยั่งยืน มุมมองของมนุษย์จะต้องปรับเปลี่ยน
ให้เปิดกว้างยอมรับความจริงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ที่จะติดตามมาจาก การกระทำ
ของตน มนุษย์จะต้องประสานแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ
จริยศาสตร์ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นข้อกำหนด
ทั่วไปขึ้นโดยเริ่มต้นจากการปูพื้นฐานความรู้ทางด้านนิเวศวิทยา
และระบบนิเวศสร้างความ เข้าใจถึงปฎิสัมพันธ์ในระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง
และปฎิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ต่อจากนั้นจึงชี้ให้เห็นถึง หลักการ
ถ่ายทอดพลังงาน โดยการกินต่อกันเป็นทอดๆ และวัฏจักรของสสาร
ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการทำให้สสาร และพลังงาน สามารถหมุนเวียน ในระบบนิเวศ
ก็จำเป็นจะต้องสร้างให้เกิดเป็นความคิดรวบยอดขึ้น
ในระบบความคิดพร้อมจะนำไปเชื่อมโยงกับ ประสบการณ์ต่างๆ
เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาที่ยั่งยืน ประสบผลสำเร็จความหมายของ การพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยทั่วไปหมายถึง การพัฒนาเพื่อบรรลุถึงความต้องการของมนุษยชาติในปัจจุบัน</span>
(<span lang="TH">โดยเฉพาะคนยากจน) ขณะเดียวกันก็ จะต้องไม่เป็นลดทอน
หรือเบียดบังโอกาศที่จะบรรลุความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย
ซึ่งนักนิเวศวิทยามีความเห็นว่า มนุษย์จะต้อง ปรับเปลี่ยนวิธีคิด
และวิถีทางแห่งการดำรงชีวิตของตนในปัจจุบันใหม่
อย่างถอนรากถอนโคนเลิกความคิดที่เรียกว่า สภาพจิตแบบ บุกฝ่า พรหมแดน หรือ
</span>Frontier mentality <span lang="TH">เสีย ปรับเปลี่ยนวิธีคิดโลกทรรศน์
และค่านิยม</span></span><b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"></span></b></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">จากมองระยะสั้นไปสู่การมองระยะยาว และเน้นที่ ผลประโยชน์ของ
โลกธรรมชาตเป็นเกณฑ์ การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องผสมผสานแนวคิด
หรือพยายามให้อยู่ในกรอบ ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ นิเวศวิทยา และสังคมวิทยา
เพราะการประสานหลักการทั้งสาม เข้ากับการปฏิบัติพัฒนา จะช่วยให้
แนวทางการพัฒนาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
หรือมุ่งตรงไปสู่จุดหมายอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ การเขียนแนวคิด
ที่นำไปสู่การพัฒนายั่งยืน ของนิเวศวิทยา แต่ละท่านอาจแตกต่างกันบ้าง
ในหัวข้อปลีกย่อยแต่ประเด็นหลัก ๆ ในการเขียน ดังที่ </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">Miller G. Tyler <span lang="TH">ได้แสดงออกมานั้นย้ำให้มนุษย์ทุกคนเห็นว่าการประสานหลักการ ทางวิทยาศาสตร์
จริยธรรมสิ่งแวดล้อม และแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติอย่างผสมผสาน
และเป็นรูปธรรมจะทำให้มนุษย์กับ สิ่งแวดล้อมอยู่ควบคู่กันไป
โดยสันติสุขสงบและยั่งยืน</span></span><b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"></span></b></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<b><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New";"><span style="color: #f1c232; font-size: x-large;">ความจำเป็นในการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน</span></span></b><b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"></span></b></div>
<br />
<ol style="margin-top: 0cm;" type="1">
<li class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l0 level1 lfo1; tab-stops: list 36.0pt;"><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีพื้นฐานด้านเกษตรกรรม
ประเทศไทยเคยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับปัญหาความต้องการพลังงาน
และเป็นสาเหตุของการทำลายสภาพแวดล้อม
ในขณะที่รูปแบบการบริโภคพลังงานของคนไทยในปัจจุบัน ก็นำไปสู่ความไม่ยั่งยืน
จะเห็นได้จากในภาคอีสาน การเพิ่มขึ้นของความต้องการพลังงานนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อม
และความขัดแย้งทางสังคมที่รุนแรง เช่น การต่อต้านโครการเขื่อนปากมูล
ในจังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจาก ผลกระทบของโครงการทำให้จำนวน
และพันธ์ปลาในแม่น้ำมูลซึ่งทำให้แหล่งอาหารที่สำคัญมากของคนในภาคอีสานใต้ลดต่ำลงอย่างมาก</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><br /><br /><span style="color: black;">2. <span lang="TH">แม้ว่าจะมีการประสบการณ์ที่เป็นปัญหาในหลายด้าน
ภาคอีสานยังคงอยู่ในสถานะที่มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบพลังงานและรูปแบบการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
ซึ่งคำนึงถึงวัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ฟืนพบได้ในหมู่บ้านต่าง ๆ
ทั่วภาคอีสาน และพลังงานทดแทนอื่น ๆ ควรจะได้รับการพิจารณาและศึกษาอย่างจริงจัง
หากสามารถพัฒนาระบการจัดการให้มีประสิทธิภาพแล้ว
แหล่งพลังงานทดแทนจะเป็นแนวทางสำคัญสำหรับความยั่งยืนในภาคอีสาน</span></span></span><b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"></span></b> </li>
</ol>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="color: black;"><br /></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<b><span lang="TH" style="color: black; font-family: "Angsana New";"><span style="color: #f1c232; font-size: x-large;">แนวคิดและการปฏิบัติของการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน</span></span></b><b><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"></span></b></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;">
<span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">การพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนประกอบด้วยหลัก </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;">3 <span lang="TH">ด้าน คือ
เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม โดยสามารถสรุปได้ดังนี้</span></span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;">
<span style="color: black; font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"> <span lang="TH">ในแง่มุมทางเศรษฐกิจ การพัฒนาพลังงานยั่งยืน หมายถึง
การสร้างผลประโยชน์จากพลังงานใหมากที่สุดโดยจะต้องรักษาทุนของสังคมไว้</span>
(<span lang="TH">ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์)
ในแง่มุมด้านสิ่งแวดล้อมการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเน้นการรักษาเสถียรภาพของระบบนิเวศน์ทั้งทางชีวภาพ
และกายภาพ จากการผลิตและการใช้พลังงาน และในแง่มุมด้านสังคม
การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องรักษาความมั่นคงของสังคมและวัฒนธรรม
รวมทั้งการลดความขัดแย้งในสังคมที่มีสาเหุตมาจาก การผลิตและการใช้พลังงาน
โดยสรุปแผนพัฒนาพลังงานยั่งยืนจะครอบคลุมหัวข้อทั้งสาม
โดยเน้นการสร้างผลประโยชน์จากพลังงานที่มากที่สุด โดยคงระดับทรัพยากรที่มีอยู่
และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสังคมและวัฒนธรรมน้อยที่สุด</span>
</span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"> <span lang="TH">นอกจากนี้
ภายใต้แนวคิดทั้งสามประการของพลังงานยั่งยืน ควรจะพิจารณามุมมองห้าประการนี้ด้วย
ได้แก่</span></span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;">1) <span lang="TH">การพัฒนาพลังงานยั่งยืน
ควรอยู่บนพื้นฐานของการใช้เทคโนโลยี และระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ซึ่งจะทำให้เกิดผลประโยชน์แก่สังคมมากที่สุด</span><br />2) <span lang="TH">การพัฒนายั่งยืน
ควรอยู่บนพื้นฐานของการใชัพลังงานทดแทนจากแหล่งทรัพยากรภายในประเทศ
ซึ่งสามารถมั่นใจในแหล่งทรัพยากรและส่งผมให้เกิดการบำรุงรักษาแหล่งทรัพยากรอีกด้วย
นอกจากนี้ โดยทั่วไปแล้ว
การใช้พลังงานทดแทนทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยกว่า</span><br />3) <span lang="TH">การผลิตและการใช้พลังงาน ซึ่งครอบคลุมถึงเทคโนโลยีและระบบการจัดการ
จะต้องไม่ทำลายระบบนิเวศน์ สังคมและวัฒนธรรม</span><br />4) <span lang="TH">ถ้าในอนาคตไม่สามารถหลีกเลี่ยงผมกระทบเหล่านี้ได้
ผู้ที่ก่อมลพิษก็ต้องเป็นผู้จ่ายเงินเนื่องจากตนเองได้รับผลประโยชน์
โดยใช้หลักการผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย</span></span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"> <span lang="TH">มุมมองทั้ง </span>4 <span lang="TH">ข้อนี้ จะชลอหรือแม้กระทั่งสามารถลดอัตราการเจริญเติบโตของการผลิตพลังงาน
การเปลี่ยนรูปพลังงาน เทคโนโลยีของการใช้พลังงาน
แลุะการลงมือปฏิบัติที่ไม่พึงปรารถนา ยิ่งไปกว่านั้น
กระบวนการจ่ายค่าชดเชยจากผู้ที่ได้รับประโยชน์ไปสู่ประชาชน ครัวเรือน
ชุมชนหรือระบบนิเวศน์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการผลิตและการใช้พลังงาน
จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านี้
รวมถึงรักษาความเท่าเทียมกันในสังคมไทยด้วย</span><br />5) <span lang="TH">การจัดตั้งกลไลเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่อยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน
และเป็นที่ยอมรับของสังคม
ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาความมั่นคงของสังคมและวัฒนธรรมในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง
ที่มีสาเหตุมาจากการผลิต การเปลี่ยนรูป และการบริโภคพลังงาน</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span></span></span> </div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span></span></span> </div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span></span></span> </div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span></span></span> </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/YpwZEnMfjBQ?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span></span></span> </div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span></span></span> </div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 14pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span></span></span> </div>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-63747611177063670032012-06-24T02:30:00.000-07:002012-06-24T02:30:02.131-07:00ค่านิยมและการสัมผัสรับรู้<span style="font-family: Arial;"><strong></strong></span><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-r1Yhx1c3y_Y/T-bcyUwYhoI/AAAAAAAAACI/RlO_5GgjA-w/s1600/98798.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-r1Yhx1c3y_Y/T-bcyUwYhoI/AAAAAAAAACI/RlO_5GgjA-w/s1600/98798.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<span style="font-family: Arial;"><strong><span style="color: #3d85c6;">ค่านิยม</span></strong><span style="font-size: small;"><span style="color: #3d85c6;"> (Value)</span> ความหมายทางด้านการบริหาร หมายถึง เป็นความเชื่อทีถาวรเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเหมาะสม และไม่ใช่สิ่งซึ่งแนะนำพฤติกรรมของพนักงานให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ค่านิยมอาจอยู่ในรูปของการกำหนดความคิดเห็น (Ideology) และเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในแต่ละวัน</span></span><br />
<div>
<span style="color: black; font-size: small;"><span style="line-height: 19px;"><br /></span></span></div>
<div>
<span style="font-size: small;"><span style="line-height: 19px;"><span style="font-family: Arial;"><span style="color: #6fa8dc;"><b>ประเภทของค่านิยม</b></span></span></span></span><div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;"><span style="line-height: 19px;">Phenix </span>ใช้หลักความสนใจและความปรารถนาของบุคคลแบ่งค่านิยมออกเป็น 6 ประเภท คือ</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">1. ค่านิยมทางสังคม (Social Values) เป็นค่านิยมที่ช่วยให้เกิดความรักความเข้าใจและ ความต้องการของอารมณ์ของบุคคล</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">2. ค่านิยมทางวัตถุ (Material Values) เป็นค่านิยมที่ช่วยให้ชีวิตร่างกายของคนเรา สามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป ได้แก่ ปัจจัยสี่ คืออาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า และยารักษาโรค</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">3. ค่านิยมทางความจริง (Truth Values) เป็นค่านิยมเกี่ยวกับความจริงซึ่งเป็นค่านิยมที่ สำคัญยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความรู้ และนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการค้นหากฎของธรรมชาติ</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">4. ค่านิยมทางจริยธรรม (Moral Values) เป็นค่านิยมที่ทำให้เกิดความรับผิดชอบชั่วดี</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">5. ค่านิยมทางสุนทรียะ (Aesthetic Values) เป็นความซาบซึ้งใจในความดีและความงาม ของสิ่งต่างๆ</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">6. ค่านิยมทางศาสนา (Religious Values) เป็นค่านิยมที่เกี่ยวกับความปรารถนาความ</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">สมบูรณ์ของชีวิต รวมทั้งความศรัทธา และการบูชาในทางศาสนาด้วย จากประเภทต่างๆ ของค่านิยมข้างต้น ค่านิยมความรัก คู่ครอง และการแต่งงาน ที่ศึกษาใน การวิจัยครั้งนี้เป็นค่านิยมที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพทางสังคมวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ค่านิยมที่ศึกษาเป็นค่านิยมที่ศึกษาเป็นค่านิยมทางสังคมและทางจริยธรรม</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;"><br /><b><span style="color: #6fa8dc;">หน้าที่ของค่านิยม</span></b></span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">สุนทรี โคมิน และสนิท สมัครการ กล่าวถึง หน้าที่ของค่านิยม 7 อย่างไว้ดังนี้</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">a.ค่านิยมจูง (Lead) เป็นค่านิยมที่ช่วยให้บุคคลได้แสดงจุดยืนของตนในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสังคมออกมาอย่างชัดเจน</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">b.ค่านิยมเป็นตัวช่วยกำหนด (Predispose) ให้บุคคลนิยมอุดมการณ์ทางการเมืองบางอุดมการณ์มากกว่าอุดมการณ์อื่น</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">c.ค่านิยมเป็นบรรทัดฐานที่ช่วยนำ (Guide) การกระทำให้ทำบุคคลประพฤติ และแสดงตัวต่อผู้อื่นที่ประพฤติเป็นปกติอยู่ทุกวัน</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">d.ค่านิยมเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ในการประเมิน (Evaluate) ตัดสินการชื่นชมยกย่อง การตำหนิ ติเตียนตัวเอง และการกระทำของผู้อื่น</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">e.ค่านิยมเป็นจุดกลางของการศึกษา กระบวนการเปรียบเทียบกับผู้อื่น</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">f.ค่านิยมเป็นบรรทัดฐานที่ถูกใช้ในการชักชวน (Persuade) หรือสร้างประสิทธิผลต่อคนอื่น</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;">g.ค่านิยมเป็นบรรทัดฐานที่ถูกใช้เป็นฐาน (Base) สำหรับกระบวนการให้เหตุผลต่อความนึกคิด และการกระทำของตน</span></div>
<div style="color: black; font-family: sans-serif; line-height: 1.5em; margin: 0.4em 0px 0.5em; text-indent: 3em;">
<span style="font-size: small;"><br /></span></div>
<span style="font-size: small;"><br /><span> <span> <span> <span style="color: black;"> </span></span></span></span><span style="color: black;"><b><span style="color: #6fa8dc;">การรับรู้</span></b> คือ การตีความหรือแปลความหมายข้อมูล (กระแสประสาท) จากการสัมผัส ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งที่มาสัมผัสนั้นคืออะไร เป็นอย่างไร ในการตีความหรือแปลความหมายนี้ต้องอาศัยการจัดหมวดหมู่ของสิ่งเร้า ประสบการณ์และการเรียนรู้ที่ผ่านมา อารมณ์ และแรงจูงใจ เช่น เรามองเห็นจุดดำ ๆ จุดหนึ่งอยู่ลิบ ๆ บนท้องฟ้า (การสัมผัส) เรายังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ต่อเมื่อจุด ๆ นั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ จนมองเห็นชัด เราจึงรู้ว่าที่แท้จริง ก็คือนกตัวหนึ่ง (การรับรู้) นั่นเอง หรือถ้าเราเห็นรูป เราจะรับรู้ทันทีว่า คือรูป สี่เหลี่ยม ( ) เพราะเราจัดหมวดหมู่โดยพิจารณาถึงรูปที่สมบูรณ์ของ นั่นเอง การจัดหมวดหมู่ของสิ่งเร้ามีหลายลักษณะเช่น จัดโดยอาศัยความคล้ายคลึงกัน จัดโดยอาศัยความต่อเนื่อง เป็นต้น การจัดหมวดหมู่ของสิ่งเร้านี้ช่วยให้เราแปลความหมาย (รับรู้) ได้ถูกต้องรวดเร็วขึ้น การรับรู้ของคนเรามีหลายชนิด ดังต่อไปนี้<br /><br /> <span> <span> <span> </span></span></span>1. การได้ยิน เราสัมผัสคลื่นเสียงทางหูแล้วแปลความหมายของกระแสประสาทที่เกิดขึ้น จนรับรู้ว่าเป็นเสียงอะไร และเรายังสามารถบอกตำแหน่งทิศทางและระยะทางของแหล่งกำเนิดเสียงได้อีกด้วย<br /><br /> <span> <span> <span> </span></span></span>2. การมองเห็น เราสัมผัสคลื่นแสงจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ทางนัยน์ตาแล้วแปลความหมายของกระแสประสาทที่เกิดขึ้นจนรับรู้ว่าสิ่งเร้าที่เห็นนั้นคืออะไร<br /><br /> <span> <span> <span> </span></span></span>3. การได้กลิ่น เราสัมผัสโมเลกุลของไอที่ระเหยมาจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ทางจมูกแล้วแปลความหมายของกระแสประสาทที่เกิดขึ้นจนรับรู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร เหม็น หอม เน่า หรือ กลิ่นเครื่องเทศ<br /><br /> <span> <span> <span> </span></span></span>4. การรู้รส เราสัมผัสสิ่งเร้าบางอย่างโดยลิ้น แล้วแปลความหมายของกระแสประสาทที่เกิดขึ้นจนรับรู้ว่าสิ่งเร้านั้นมีรสอะไร หวาน เค็ม หรือขม เป็นต้น<br /><br /> <span> <span> <span> </span></span></span>5. การรับรู้ทางผิวกาย เราสัมผัสสิ่งเร้าที่มากระตุ้นผิวกาย แล้วแปลความหมายของกระแสประสาทที่เกิดขึ้นจนรับรู้เราว่าสัมผัสอะไร นอกจากนี้ยังรู้ถึงอุณหภูมิและความเจ็บปวดที่เกิดจากการสัมผัสอีกด้วย<br /><br /><span> <span> <span> </span></span></span>6. การรับรู้ความรู้สึกภายในของร่างกาย ได้แก่การรับรู้ตำแหน่งหรือการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่าง ๆ โดยไม่ต้องอาศัยอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 ข้างต้น เช่น ถึงแม้หลับตาเราก็สามารถตักอาหารใส่ปากได้ถูกต้อง เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากเรารับรู้ว่าปาก แขน มือ ฯลฯ ของเราอยู่ตำแหน่งใดเราจึงทำเช่นนั้นได้ การรับรู้นี้เกิดจากการแปลความหมายของสภาวะกล้ามเนื้อ เอ็น หรือข้อต่อต่าง ๆ ขณะยืดตัว หดตัวหรือคลายตัว เป็นสำคัญ การรับรู้ความรู้สึกภายในของร่างกายอีกชนิดหนึ่ง คือการทรงตัว ทำให้เราทราบว่าร่างกายเรากำลังอยู่ท่าไหนอยู่ในตำแหน่งที่สมดุลหรือไม่ ถ้าไม่ก็พยายามปรับเข้าสู่สมดุลต่อไป มิฉะนั้นจะรู้สึกคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรืออาเจียนได้</span></span></div>
</div>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-13072882892057785002012-06-24T02:19:00.001-07:002012-06-24T02:19:07.929-07:00สิทธิมนุษยชน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-MNMFG23RvAw/T-bawzI0_3I/AAAAAAAAACA/CZKXrkcQ6kc/s1600/5824.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="212" src="http://2.bp.blogspot.com/-MNMFG23RvAw/T-bawzI0_3I/AAAAAAAAACA/CZKXrkcQ6kc/s320/5824.jpg" width="320" /></a></div>
<div align="LEFT">
</div>
สิทธิมนุษยชน หมายถึง สิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงมีโดยเสมอภาคกัน
เพื่อการดำรงชีวิตได้อย่าง
มีศักดิ์ศรีมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่และสร้างสรรค์
ดังนั้นจึงเป็นสิทธิที่ได้มาพร้อมกับการเกิดและเป็นสิทธิติดตัวบุคคลนั้นตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ในเขตปกครองใด
หรือเชื้อชาติ ภาษา ศาสนาใด ๆ
<br />
สิทธิมนุษยชน หมายถึงแนวคิดเกี่ยวกับมนุษย์ที่ว่า
มนุษย์นั้นมีสิทธิหรือสถานะสากล ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับขอบเขตของกฎหมาย
หรือปัจจัยท้องถิ่นอื่นใด เช่น เชื้อชาติ หรือ สัญชาติ <br />
<br />
จาก ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 1 กล่าวว่า
"มนุษยทั้งหลายทั้งหลายเกิดมามีอิสระเสรี เท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ
ทุกคนได้รับการประสิทธิ์ประสาทเหตุผลและมโนธรรม
และควรปฏิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง"[1] <br />
<br />
ความดำรงอยู่ ความถูกต้อง และเนื้อหาของสิทธิมนุษยชน
เป็นหัวข้อที่เป็นที่โต้เถียงกันมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในทางปรัชญาและรัฐศาสตร์
ตามกฎหมายแล้ว สิทธิมนุษยชนได้ถูกบัญญัติเอาไว้ในกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ
และในกฎหมายภายในของหลายรัฐ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนจำนวนมากแล้ว
หลักการของสิทธิมนุษยชนนั้นกินขอบเขตเลยไปกว่ากฎหมาย
และก่อร่างขึ้นเป็นหลักศีลธรรมพื้นฐานสำหรับวางระเบียบภูมิศาสตร์การเมืองร่วมสมัย
สำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว สิทธิมนุษยชนคือความเสมอภาคในอุดมคติ <br />
<a href="" name=".E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.A2.E0.B8.8A.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B8.9A.E0.B8.97.E0.B8.9A.E0.B8.B1.E0.B8.8D.E0.B8.8D.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.90.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B9.E0.B8.8D"></a>
<br />
<h3>
<span class="mw-headline"><span style="color: #6aa84f; font-size: large;">สิทธิมนุษยชนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ</span></span></h3>
<h3>
<span style="font-size: small;">ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๑
ในฐานะ ที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
โดยประเทศสมาชิกต่างมีเจตจำนงประการสำคัญว่า
การคุ้มครองสิทธิ-มนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นเงื่อนสำคัญประการหนึ่งที่จะก่อให้เกิดสันติภาพในประเทศสมาชิก
ที่ร่วมองค์กรและสังคมระหว่างประเทศ ดังนั้น
ประเทศไทยจึงมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่าง ๆ เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ,
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางแพ่ง, การเมือง,
สังคม, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
ตลอดจนกติการะหว่างประเทศที่ว่าด้วยการจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ ฯลฯ
เป็นต้น </span></h3>
<a href="" name=".E0.B8.9A.E0.B8.97.E0.B8.9A.E0.B8.B1.E0.B8.8D.E0.B8.8D.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.90.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B9.E0.B8.8D.E0.B8.81.E0.B8.B1.E0.B8.9A.E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.A2.E0.B8.8A.E0.B8.99"></a>
<br />
<h4>
<span class="mw-headline"><span style="color: #6aa84f; font-size: large;">บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกับสิทธิมนุษยชน</span></span></h4>
<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีสาระสำคัญเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพิ่มขึ้น
ตลอดจนปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โดยคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งมีบทบัญญัติมาตรา ๑๙๙ และ มาตรา ๒๐๐
บังคับไว้ในส่วนที่ ๘ ที่ว่าด้วย “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”
ซึ่งมีฐานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ต่อมาได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ได้บัญญัติไว้ในหมวด ๑๑ ส่วนที่ ๒ ว่าด้วยองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีสาระสำคัญ
ดังนี้ <br />
<br />
มาตรา ๒๕๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประกอบด้วย
ประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกหกคน
ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา
จากผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์
ทั้งนี้ โดยต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนด้วย
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
มีวาระการดำรงตำแหน่งหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นหน่วยงาน
ที่เป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น
ตามที่กฎหมายบัญญัติ <br />
<br />
มาตรา ๒๕๗ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ <br />
<br />
(๑) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
หรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี
และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ
ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอ
ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป <br />
<br />
(๒) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่
เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า
บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ <br />
<br />
(๓) เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง
ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า กฎ คำสั่ง
หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง <br />
<br />
(๔) ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจาก
ผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม
ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ <br />
<br />
(๕) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และ กฎ
ต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน <br />
<br />
(๖) ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน <br />
<br />
(๗) ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยราชการ องค์การเอกชน
และองค์การอื่นในด้านสิทธิมนุษยชน <br />
<br />
(๘)
จัดทำรายงานประจำปีเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศและเสนอต่อรัฐสภา
<br />
<br />
(๙) อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ <br />
<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและประชาชนประกอบด้วย
<br />
<br />
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจเรียกเอกสารหรือ
หลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ
รวมทั้งมีอำนาจอื่นเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
<br />
<a href="" name=".E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.A2.E0.B8.8A.E0.B8.99__.E0.B8.84.E0.B8.B7.E0.B8.AD.E0.B8.AD.E0.B8.B0.E0.B9.84.E0.B8.A3"></a>
<br />
<h4>
<span class="mw-headline"><span style="color: #6aa84f; font-size: large;">สิทธิมนุษยชน คืออะไร</span></span></h4>
<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๓๔ (๑)
กำหนดบังคับไว้ให้ออกกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ภายใน ๒ ปี
นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญใช้บังคับ รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมายมารองรับ เรียกว่า
“พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒” ซึ่งมีประเด็นสำคัญ
พอสรุปได้ดังนี้ <br />
<br />
<dl>
<dd>(๑) มาตรา ๓ ให้คำจำกัดความว่า “สิทธิมนุษยชน” หมายความว่า
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง
หรือคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย หรือตามกฎหมายไทย
หรือตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม </dd></dl>
<br />
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
หรือศักดิ์ศรีความเป็นคนเป็นสิ่งที่ทุกคนมีติดตัวมาแต่กำเนิด
โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือแนวคิดอื่น
ๆ เผ่าพันธุ์ หรือสังคม ทรัพย์สิน ถิ่นกำเนิด หรือสถานะอื่น ๆ เช่น
คนเราทุกคนมีสิทธิได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นบุคคลตามกฎหมายไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร
(ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๖) <br />
<br />
คนเราทุกคนเกิดมามีอิสระเสรี มีศักดิ์ศรี
มีสิทธิเท่าเทียมกันหมดทุกคนได้รับการประสิทธิประสาทเหตุผลและมโนธรรม
และควรปฏิบัติต่อกันฉันพี่น้อง (ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๑) <br />
<br />
รัฐธรรมนูญยังได้บัญญัติรับรอง กำชับ
และเรียกร้องเมื่อถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนไว้ด้วย อย่างชัดเจน ได้แก่ <br />
<br />
<dl>
<dd>(๒) มาตรา ๔ บัญญัติว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ
และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง” </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>(๓) มาตรา ๒๖ บัญญัติว่า “การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร
ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพ” </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>(๔) มาตรา ๒๘ บัญญัติว่า “บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน </dd></dl>
<a href="" name=".E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.A2.E0.B8.8A.E0.B8.99.E0.B8.81.E0.B8.B1.E0.B8.9A.E0.B8.97.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A3"></a><span style="color: #6aa84f; font-size: large;">
</span><br />
<h4>
<span style="color: #6aa84f;"><span style="font-size: large;">
<span class="mw-headline">สิทธิมนุษยชนกับทหาร</span></span></span></h4>
<br />
ทหารจำเป็นต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากกรณีเหตุการณ์ใช้กำลังเข้าระงับการชุมนุมระหว่างวันที่ ๑๗
- ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๕
รับทราบรายงานของคณะกรรมการกลั่นกรองรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
และเห็นชอบตามข้อสังเกตและความเห็นของคณะกรรมการ ฯ
โดยมีมาตรการที่เกี่ยวกับกระทรวงกลาโหม คือ <br />
<br />
ข้อ ๓
รับไปดำเนินการบรรจุวิชาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนพื้นฐานในการแสดงออกอย่างเสรีในหลักสูตรการศึกษาทุกแขนง
โดยเฉพาะการบรรจุวิชาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนพื้นฐานในหลักสูตรวิชาทางทหาร ตำรวจ
และนักปกครองระดับต่าง ๆ
เพื่อให้ตระหนักในคุณค่าของสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติตนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฯลฯ
<br />
<a href="" name=".E0.B8.84.E0.B8.93.E0.B8.B0.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.A2.E0.B8.8A.E0.B8.99"></a>
<br />
<h4>
<span style="color: #6aa84f;"><span style="font-size: large;">
<span class="mw-headline">คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน</span></span></span></h4>
<br />
ตามมาตรา ๒๕๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติว่า
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประกอบด้วย
ประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกหกคน
ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา
จากผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์
ทั้งนี้ โดยต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนด้วย
<br />
<br />
ให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
<br />
<br />
คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การถอดถอน
และการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
<br />
<br />
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว มีคุณสมบัติดังนี้ <br />
<br />
<br /> <i>มาตรา ๖ ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๔๒ ประธานคณะกรรมการ</i> <br />
<br />
<dl>
<dd>๑. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๒. มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๓. ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง
สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๔. ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งของพรรคการเมือง </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๕. ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๖. ไม่ติดยาเสพติดให้โทษ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๗. ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๘. ไม่เป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาล </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๙. ไม่เป็นบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป
โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันได้รับการเสนอชื่อ
เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๑๐. ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ หรือจากหน่วยงานของเอกชน เพราะทุจริตต่อหน้าที่
หรือเพราะประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๑๑.
ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ
หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๑๒. ไม่เป็นกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
กรรมการป้องกันและปราบ-ปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
หรือสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๑๓. ไม่เคยถูกวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง </dd></dl>
<br />
<br /> <i>มาตรา ๗ ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๔๒ ผู้ได้รับเลือกเป็นกรรมการต้อง</i> <br />
<br />
<dl>
<dd>(๑) ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>(๒) ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือของราชการส่วนท้องถิ่น
หรือไม่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของรัฐวิสาหกิจหรือของหน่วยงานของรัฐ </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>(๓) ไม่ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วนบริษัท
หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน
หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด </dd></dl>
<br />
เมื่อวุฒิสภาเลือกบุคคลตาม (๑) (๒) หรือ (๓) โดยได้รับความ
ยินยอมของผู้นั้น
ผู้ได้รับเลือกจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อเมื่อได้ลาออกจากการเป็นบุคคลตาม (๑) (๒)
หรือ (๓) แล้ว ซึ่งต้องกระทำภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับเลือก
แต่ถ้าผู้นั้นมิได้ลาออกภายในเวลาที่กำหนด
ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยได้รับเลือกให้เป็นกรรมการ
และให้ดำเนินการสรรหาและเลือกกรรมการใหม่แทน <br />
<br />
เมื่อได้รับการคัดเลือกแล้ว
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ด้านคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์
ทั้งนี้ “โดยต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทั้งหญิงและชาย
และผู้แทนขององค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนด้วย ( ม.๕ )
โดยกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอยู่ในตำแหน่ง ๖ ปี
นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและดำรง ตำแหน่งเพียงวาระเดียว (ม.๑๐ ว.๑)
<br />
<a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.94.E0.B8.B3.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B8.87.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.84.E0.B8.93.E0.B8.B0.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3"></a>
<br />
<h4>
<span class="mw-headline"><span style="color: #6aa84f; font-size: large;">การดำเนินงานของคณะกรรมการ</span></span></h4>
<br />
<dl>
<dd>๑.
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีอำนาจตรวจสอบและเสนอมาตรการแก้ไขกรณีที่มีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มิใช่เป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดี
อยู่ในศาล หรือที่ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเด็ดขาดแล้ว (ม.๒๒) </dd></dl>
<br />
<dl>
<dd>๒.
ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมีสิทธิยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการโดยผู้นั้นเอง
หรือผู้ทำการแทน แจ้งการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดยยื่น ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
โดยการร้องเรียนด้วยวาจาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนให้กระทำได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
(ม.๒๓) </dd></dl>
<br />
๓. ผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนร้องต่อองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน
เมื่อองค์การเอกชนพิจารณาเบื้องต้นแล้วเห็นว่ากรณีมีมูลก็อาจเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนดำเนินการต่อไป
(ม.๒๔) <br />
<br />
<dl>
<dd>๔. ผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนสามารถนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาลได้เหมือนคดีทั่วไป
ตามแต่สิทธิที่ถูกลิดรอน เช่น ทางร่างกายก็ฟ้องต่อศาลอาญา
ทางลิขสิทธิ์ก็นำคดีสู่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ เป็นต้น </dd></dl>
<br />
โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไม่มีอำนาจในการลงโทษผู้ละเมิด
เพียงแต่แจ้งให้ผู้กระทำละเมิดได้ทราบว่าสิ่งที่กระทำนั้นละเมิดต่อผู้อื่น <br />
<a href="" name=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.82.E0.B9.89.E0.B8.B2.E0.B9.83.E0.B8.88.E0.B9.80.E0.B8.9A.E0.B8.B7.E0.B9.89.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.95.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B9.83.E0.B8.99.E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.A2.E0.B8.8A.E0.B8.99"></a>
<br />
<h4>
<span style="color: #6aa84f;"> <span style="font-size: large;">
<span class="mw-headline">ความเข้าใจเบื้องต้นในสิทธิมนุษยชน</span></span></span></h4>
<br />
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้เป็นมาตรฐานร่วมกันแห่งความสำเร็จ
สำหรับประชาชนทั้งหลายและประชาชาติทั้งปวง
ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ปัจเจกบุคคลทุกผู้ทุกนามและองค์กรของสังคมทุกหน่วย
โดยการระลึกเสมอ ๆ ถึงปฏิญญานี้
พยายามสั่งสอนและให้การศึกษาเพื่อส่งเสริมการเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้
และด้วยมาตรการที่เจริญก้าวหน้าไปข้างหน้า ทั้งในและระหว่างประเทศ
เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับและการถือปฏิบัติต่อสิทธิเหล่านั้นสากล
และได้ผลทั้งในหมู่ประชาชนของรัฐสมาชิกเอง
และหมู่ประชาชนแห่งดินแดนที่อยู่ภายใต้ดุลอาณาของรัฐสมาชิกดังกล่าว <br />
<br />
ข้อ 1 มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาอิสระเสรีและเท่าเทียมกัน
ทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนได้รับการประสิทธิประสาทเหตุผลและมโนธรรม
และควรปฏิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง <br />
<br />
ข้อ 2บุคคลชอบที่จะมีสิทธิและเสรีภาพประดาที่ระบุไว้ในปฏิญญานี้
ทั้งนี้โดยไม่มีการจำแนกความแตกต่างในเรื่องใด ๆ เช่นเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา
ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือทางอื่นใด ชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน
กำเนิด หรือสถานะอื่นใด <br />
<br />
นอกจากนี้การจำแนกข้อแตกต่างโดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมืองทางดุลอาณาหรือทางเรื่องระหว่างประเทศของประเทศ
หรือดินแดนซึ่งบุคคลสังกัดจะทำมิได้
ทั้งนี้ไม่ว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นเอกสารอยู่ในความพิทักษ์
มิได้ปกครองตนเองหรืออยู่ภายใต้การจำกัดแห่งอธิปไตยอื่นใด ข้อ 3
บุคคลมีสิทธิในการดำรงชีวิตในเสรีธรรมและความมั่นคงแห่งร่างกาย <br />
<br />
ข้อ 4 บุคคลใดจะถูกบังคับให้เป็นทาส หรืออยู่ในภาวะจำยอมใด ๆ มิได้
การเป็นทาสและการค้าทาสจะมีไม่ได้ทุกรูปแบบ <br />
<br />
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในเบื้องต้น
จะกล่าวถึงหลักการเบื้องต้นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคมที่กล่าวไว้ในหลักการในการประกาศปฏิญญาสากล
และปฏิญญากลในข้อ 1- ข้อ 4 เพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข <br />
<br />
สิทธิ หมายถึง อำนาจอันชอบธรรม
ซึ่งความถูกต้องชอบธรรมนั้นมีที่มาจากการเคารพซึ่งกันและกัน การใช้สิทธินั้น
เราใช้ได้เท่าที่ไม่ไปละเมิดในสิทธิของผู้อื่น เช่น เคารพในสิทธิขั้นพื้นฐาน
ซึ่งถือว่าเป็นความจำเป็นของชีวิต <br />
<br />
สิทธิมนุษยชน หมายถึง
สิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความเท่าเทียมกันในแง่ของศักดิ์และสิทธิ์
เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว
อายุ ศาสนา ภาษา และสถานภาพ ทางกายภาพและสุขภาพ รวมทั้งความเชื่อทางสังคม การเมือง
ชาติกำเนิดเหล่านี้ คือสิทธิที่มีมาแต่กำนิด ไม่สามารถถ่ายโอนกันได้
เช่นสิทธิในร่างกาย สิทธิในชีวิต เป็นต้น <br />
<br />
สิทธิมนุษยชนมีความสำคัญในฐานะอารยธรรมโลก
นับเป็นความฉลาดของมนุษย์ที่พยายามวางระบบคิดเพื่อให้คนทั้งโลกเกิดความตระหนักรู้และคิดคำนึงถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์
นับแต่ขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรี ชาติกำเนิด
รวมทั้งระบบสิทธิต่างๆที่มีพื้นฐานมาจากความชอบธรรม
ซึ่งเป็นความชอบธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสิทธิโดยกำเนิด สิทธิตั้งแต่เกิด
การให้ความสำคัญกับคำว่า ชีวิต ว่าโดยพื้นฐานแล้ว
มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายล้วนต้องการปัจจัยในการดำรงชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
นับแต่ปัจจัยขั้นพื้นฐานที่ว่าด้วยอาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่มห่ม
การดำรงเผ่าพันธุ์ การมีชีวิตรอด ฯลฯ ความต้องการขั้นพื้นฐานเหล่านี้
นับเป็นปัจจัยสำคัญกับชีวิตเป็นที่สุด และเหมือนกันทั้งมนุษย์และสัตว์
ซึ่งสิทธิดังกล่าวหากเป็นความชอบธรรมของมนุษย์ก็คือ สิทธิมนุษยชน ทั้ง
มนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสังคม มนุษย์กับธรรมชาติ และแม้แต่กับสัตว์
การคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานมีความจำเป็นอยู่เสมอ
เหล่านี้นับเป็นความสำคัญของสิทธิมนุษยชนที่สังคมโลกต่างให้ความตระหนัก
การคำนึงถึงสิทธิดังกล่าว จะถือเป็นบันไดก้าวไปสู่ความยุติธรรมทางการเมือง สังคม
เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่จะดำเนินกิจกรรมต่างๆร่วมกัน <br />
<a href="" name=".E0.B8.AA.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.9B"></a>
<br />
<h4>
<span style="color: #6aa84f;"><span style="font-size: large;">
<span class="mw-headline">สรุป</span></span></span></h4>
<br />
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้ความสำคัญกับการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สิทธิและ เสรีภาพของบุคคล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสิทธิมนุษยชน
และยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขึ้น โดยให้มีหน้าที่ตรวจสอบ
และรายงานการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายไทย
หรือตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนาม
โดยไม่ได้แบ่งแยกว่าบุคคลนั้นจะมีอายุเท่าไร เพศใด เชื้อชาติใด
นับถือศาสนาและภาษาอะไร มีสถานภาพทางกายหรือฐานะใด
หากบุคคลอยู่ในพื้นที่ที่ใช้รัฐธรรมนูญย่อมได้รับความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ
และมีความเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ตลอดจนการตรากฎหมาย การตีความ
และการบังคับใช้กฎหมายอาจมีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ
หากถูกลิดรอนหรือถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนก็สามารถร้องเรียนต่อศาลเพื่อให้ดำเนินคดีได้ <br />
<br />
<span style="font-family: Angsana New,Angsana New; font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New,Angsana New; font-size: large;"><span style="font-size: large;"><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/0Qww6TyU-Po?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="text-align: center;">
</div>
</span><br />
<div align="center">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/IUw6moYlvj0?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/2rMO4dWVHtM?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div align="center">
</div>
<b><span style="font-family: Angsana New,Angsana New; font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New,Angsana New; font-size: large;"></span></span></b><br />
<span style="font-size: large;"><strong></strong></span></span></span>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-66768458203163023792012-06-24T02:00:00.000-07:002012-06-24T02:00:15.777-07:00ความยุติธรรมในสังคม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-yT0UOOWjZw4/T-bViob302I/AAAAAAAAAB0/Wa9N9wJX7D0/s1600/585858.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="192" src="http://3.bp.blogspot.com/-yT0UOOWjZw4/T-bViob302I/AAAAAAAAAB0/Wa9N9wJX7D0/s320/585858.jpg" width="320" /></a></div>
<br /> มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่เป็นสังคม การที่อยู่ร่วมกันก็ย่อมมีการประพฤติปฏิบัติต่อกันและกัน รวมทั้งมนุษย์แต่ละคนย่อมมีแนวปฏิบัติของตนเองว่า จะกระทำอะไร อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร โดยธรรมชาติมนุษย์มีแนวโน้มที่จะใฝ่หาความสุข ความสบาย หลีกหนีความทุกข์ยาก ความลำบาก และโดยธรรมชาติมนุษย์อาจจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเลวร้ายหรืออย่างเอารัดเอาเปรียบ หากว่าตนเองจะได้รับประโยชน์หรือความสุขความสบายเป็นเครื่องตอบแทนถ้าทุกคนปฏิบัติเช่นนั้นสังคมก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุดแล้วก็คงไม่มีใครที่จะอยู่ได้อย่างสุขสงบ <br />
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฏเกณฑ์ร่วมกัน การที่จะให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของตนเองและไม่เบียดเบียนตนเอง ตนก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตนเองอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้นต่อผู้อื่น <br />
ปราชญ์ในสมัยกรีกโบราณเช่น โสเครตีส เพลโต และอริสโตเติ้ลต่างก็พยายามหาคำตอบที่ว่า อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต? ความดีคืออะไร? และมนุษย์ควรจะปฏิบัติตนอย่างไร? เอาอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าดี? ความดีนั้นเป็นสากลหรือไม่ หรือความดีจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคมแต่ละยุคสมัย? ความยุติธรรมคืออะไรและใช้เกณฑ์อะไรตัดสิน?<br />
<br />
ความยุติธรรมเป็นแม่แบบของแนวทางต่างๆ เป็นแนวทางในเกณฑ์การตัดสิน ซึ่งมีกฏหมายเป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ ความยุติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดเพราะการที่คนเราจะกำหนดว่าอะไรคือความดี แล้วความดีกับความชั่วต่างกันตรงไหนเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันอย่างละเอียด <br />
<br />
โสเครตีสเชื่อว่าถ้าเราไม่สามารถหาคำนิยามของคุณธรรมเหล่านี้ได้ เราก็จะไม่สามารถมีความรู้เกี่ยวกับคุณธรรมได้ และการตัดสินว่าการกระทำหนึ่งมีความยุติธรรม หรือกล้าหาญ ฯลฯ หรือไม่ ย่อมปราศจากหลักเกณฑ์ที่น่าเชื่อถือ <br />
<br />
คุณแม่คนนึงแบ่งเค้กให้ลูกแฝดทั้งสองคน คุณแม่แบ่งให้ลูกคนที่โตกว่าไม่กี่ชั่วโมง น้อย กว่าอีกคน<br />
<div>
คนโต บอกคุณแม่ไม่ยุติธรรม ถึงผมจะแก่กว่าไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่ใช่ว่าผมจะได้เค้กน้อยกว่า(สมมติฮะสมมติ)</div>
<div>
แล้วคุณคิดว่าความยุติธรรมคืออะไร </div>
<div>
การแบ่งครึ่งๆ อย่างเท่ากัน หรือเปล่า.....</div>
<div>
ขณะที่พี่คนโตกว่าบอกไม่ยุติธรรม ส่วนคนน้องว่ามันยุติธรรมดีแล้ว</div>
<div>
หรือความยุติธรรมก็คือเรื่องของผลประโยชน์?</div>
<br />
ความยุติธรรม คือ ยุติ และ ธรรม ตีความตามตัวอักษรได้ว่า เป็นธรรมอันนำไปสู่ความยุติ คือจบลงแห่งเรื่องราวJohn Lawl กล่าวไว้ว่า Justice is conditions of fair equality of opportunity<br />
<br />
<div>
ในความเห็นราบูคิดว่าความยุติธรรมก็เหมือนกับประชาธิปไตยคือ ความคิดเห็นของคนส่วนมากที่มีความคิดเห็นอย่างเดียวกัน ผลประโยชน์ที่ได้รับคือผลประโยชน์ที่กลุ่มคนได้รับเหมือนกัน คิดว่าเหมือนผลประโยชน์ของส่วนรวมนั่นแหละ แน่นอนว่าบางครั้งความยุติธรรมมันต้องขัดกับผลประโยชน์ของคนกลุ่มๆนึง</div>
ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดให้มีกฎหมายบังคับใช้ในสังคม ถ้าคนไหนทำผิดตามหลักเกณฑ์ของสังคมนั้นจะมีบทบัญญัติในการลงโทษ ซึ่งคนส่วนมากเห็นด้วยกับหลักการข้อนี้ ตัวอย่างเช่น คนที่ขโมยของถูกปรับ ฯลฯ นั่นคือความยุติธรรมของสังคม <br />
ความยุติธรรมเป็นตัวกำหนดทิศทางของสังคม ซึ่งความยุติธรรมของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น หากสังคมหนึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การขโมยของเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถือว่ายุติธรรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความยุติธรรมที่เป็นที่นิยมมากที่สุดเป็นความยุติธรรมที่ต้องอยู่คู่กับ คุณธรรมและจริยธรรม ที่เป็นเครื่องช่วยในการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง และเหมาะสม แล้วความยุติธรรมแบบไหนที่คนส่วนมากจะยอมรับ<br />
<br />
<strong><span style="color: #3d85c6; font-size: large;">แนวคิดที่ยึดหลักคุณธรรม หรือคุณงามความดี (virtue)</span></strong><br />อริสโตเติ้ลกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องเลือกเองว่าจะทำอะไรซึ่งดีสำหรับตนเอง และในขณะเดียวกันก็ดีสำหรับผู้อื่นด้วย ในการเลือกต้องใช้หลักของคุณธรรมมากกว่าที่เลือกตามความพอใจของตนเอง คุณธรรมสามประการที่อริสโตเติ้ลเน้นได้แก่ <br />
temperance (การรู้จักควบคุมตน, การข่มใจ,การรู้จักพอ), <br />
courage (ความกล้าหาญ) ความกล้าหาญคือการเลือกตัดสินใจด้วยเหตุผลถึงแม้จะตระหนักถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้า ผู้ที่มีความกล้าหาญไม่ใช่ผู้ที่ปราศจากความกลัว แต่เลือกกระทำด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กระทำคือความถูกต้อง ไม่ใช่กล้าบ้าบิ่นขาดการไตร่ตรองด้วยปัญญา<br />
justice (ความยุติธรรม) นั่นคือมนุษย์ทุกคนควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเท่าเทียมกันเหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนเอง <br />
<br />
<strong><span style="color: #3d85c6; font-size: large;">จริยธรรม</span></strong> หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ, ศีลธรรม, กฏศีลธรรม (1) ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า ethic ซึ่งหมายถึง system of moral principles, rules of conduct (2) คำว่า ethic มีรากศัพท์มาจากคำว่า ethos ในภาษากรีกซึ่งหมายถึงข้อกำหนดหรือหลักการประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง และตรงกับคำในภาษาลาตินว่า mores ซึ่งต่อมากลายเป็นคำว่า morality ในภาษาอังกฤษ ( 3 ) <br />
คำว่า <strong>จริยศาสตร์ </strong>หมายถึง ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วยความประพฤติและการครองชีวิตว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกหรืออะไรผิด หรืออะไรควรอะไรไม่ควร (1) ตรงกับคำว่า ethics ในภาษาอังกฤษ <br />
<br />
<br /><strong><span style="color: #3d85c6; font-size: large;">แนวความคิดเรื่องประโยชน์ส่วนรวม ( Utilitarianism)</span></strong><br />
เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคมใหญ่ก็จะทำให้เกิดข้อขัดแย้งว่า pleasure ของใครจะสำคัญกว่ากัน?คำถามเหล่านี้ได้รับการอธิบายโดยแนวความคิดที่ว่า การกระทำที่นำประโยชน์สูงสุด แก่จำนวนคนที่มากที่สุด และให้ประโยชน์ได้นานที่สุด คือแนวทางปฏิบัติของมนุษย์<br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: #3d85c6; font-size: large;">ความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ ?</span></strong> ความยุติธรรมนั้นเมื่อเราแยกจากหมวดหมู่ของคำ ก็จะรู้ว่า คำว่าความยุติธรรมนั้น เป็นนามธรรม(abstract noun) คือไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ ตามหลักวิทยาศาสตร์จะขออธิบายดังนี้ ความยุติธรรมนั้นจับต้องไม่ได้ ความยุติธรรมมีจริงเพราะเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่ข้อยุติของปัญหานั้นๆ ความยุติธรรมสัมผัสได้ แต่สัมผัสได้ด้วยใจ(mind)เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะว่าจิตใจ (mental) ของคนเราไม่เหมือนกัน <br />
<br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/rAi2kCev2Q0?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/cUAe80Oj1vc?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div align="center">
<br /></div>
</div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<b><span lang="TH" style="color: green; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></b></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="color: maroon; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<v:shapetype coordsize="21600,21600" id="_x0000_t202" o:spt="202" path="m,l,21600r21600,l21600,xe">
<v:stroke joinstyle="miter">
<v:path gradientshapeok="t" o:connecttype="rect">
</v:path></v:stroke></v:shapetype><v:shape fillcolor="#f90" id="_x0000_s1026" style="height: 36pt; margin-left: 78pt; margin-top: 16.45pt; position: absolute; width: 102pt; z-index: 251651584;" type="#_x0000_t202">
<v:fill focus="50%" rotate="t" type="gradient">
<v:textbox style="mso-next-textbox: #_x0000_s1026;">
</v:textbox></v:fill></v:shape></div>
<table cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td style="background-color: transparent; border: rgb(0, 0, 0);"><div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;">
<br /></div>
</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<v:shape id="_x0000_s1029" style="height: 36pt; margin-left: 300pt; margin-top: 304.85pt; position: absolute; width: 96pt; z-index: 251654656;" type="#_x0000_t202">
<v:fill color2="#9cf" focus="-50%" rotate="t" type="gradient">
<v:textbox style="mso-next-textbox: #_x0000_s1029;">
</v:textbox></v:fill></v:shape><br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td style="background-color: transparent; border: rgb(0, 0, 0);"><div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;">
<br /></div>
</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<v:shapetype adj="16200,5400" coordsize="21600,21600" id="_x0000_t13" o:spt="13" path="m@0,l@0@1,0@1,0@2@0@2@0,21600,21600,10800xe">
<v:stroke joinstyle="miter">
<v:formulas>
<v:f eqn="val #0">
<v:f eqn="val #1">
<v:f eqn="sum height 0 #1">
<v:f eqn="sum 10800 0 #1">
<v:f eqn="sum width 0 #0">
<v:f eqn="prod @4 @3 10800">
<v:f eqn="sum width 0 @5">
</v:f></v:f></v:f></v:f></v:f></v:f></v:f></v:formulas>
<v:path o:connectangles="270,180,90,0" o:connectlocs="@0,0;0,10800;@0,21600;21600,10800" o:connecttype="custom" textboxrect="0,@1,@6,@2">
<v:handles>
<v:h position="#0,#1" xrange="0,21600" yrange="0,10800">
</v:h></v:handles>
</v:path></v:stroke></v:shapetype><v:shape fillcolor="#c9f" id="_x0000_s1033" style="height: 27pt; margin-left: 199.6pt; margin-top: 20.25pt; position: absolute; width: 1in; z-index: 251659776;" type="#_x0000_t13"><v:shape fillcolor="#c9f" id="_x0000_s1035" style="height: 18.35pt; margin-left: 210pt; margin-top: 315pt; position: absolute; width: 78pt; z-index: 251661824;" type="#_x0000_t13"><v:shape id="_x0000_s1028" style="height: 36pt; margin-left: 84pt; margin-top: 304.85pt; position: absolute; width: 102pt; z-index: 251653632;" type="#_x0000_t202">
<v:fill color2="#930" focus="-50%" rotate="t" type="gradient">
<v:textbox style="mso-next-textbox: #_x0000_s1028;">
</v:textbox></v:fill></v:shape></v:shape></v:shape><br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td style="background-color: transparent; border: rgb(0, 0, 0);"><div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;">
</div>
</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<v:shapetype coordsize="21600,21600" id="_x0000_t71" o:spt="71" path="m10800,5800l8352,2295,7312,6320,370,2295,4627,7617,,8615r3722,3160l135,14587r5532,-650l4762,17617,7715,15627r770,5973l10532,14935r2715,4802l14020,14457r4125,3638l16837,12942r4763,348l17607,10475,21097,8137,16702,7315,18380,4457r-4225,868l14522,xe">
<v:stroke joinstyle="miter">
<v:path gradientshapeok="t" o:connectangles="270,180,90,0" o:connectlocs="14522,0;0,8615;8485,21600;21600,13290" o:connecttype="custom" textboxrect="4627,6320,16702,13937">
</v:path></v:stroke></v:shapetype><v:shape id="_x0000_s1032" stroked="f" style="height: 27pt; margin-left: -12pt; margin-top: 214.85pt; position: absolute; width: 66pt; z-index: 251657728;" type="#_x0000_t202">
<v:textbox style="mso-next-textbox: #_x0000_s1032;">
<v:shape id="_x0000_s1031" style="height: 117pt; margin-left: -42pt; margin-top: 173.75pt; position: absolute; width: 126pt; z-index: 251656704;" type="#_x0000_t71"><v:fill color2="#f9c" focus="-50%" rotate="t" type="gradient"></v:fill></v:shape></v:textbox></v:shape><br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td style="background-color: transparent; border: rgb(0, 0, 0);"></td>
</tr>
</tbody></table>
<v:shape fillcolor="#c9f" id="_x0000_s1036" style="height: 27pt; margin-left: 15.15pt; margin-top: 296.25pt; position: absolute; rotation: 2549907fd; width: 54pt; z-index: 251662848;" type="#_x0000_t13"><v:shape fillcolor="#c9f" id="_x0000_s1037" style="height: 21.5pt; margin-left: -26.5pt; margin-top: 161.3pt; position: absolute; rotation: -4222327fd; width: 55.4pt; z-index: 251663872;" type="#_x0000_t13"><v:shapetype adj="5400,5400" coordsize="21600,21600" id="_x0000_t66" o:spt="66" path="m@0,l@0@1,21600@1,21600@2@0@2@0,21600,,10800xe">
<v:stroke joinstyle="miter">
<v:formulas>
<v:f eqn="val #0">
<v:f eqn="val #1">
<v:f eqn="sum 21600 0 #1">
<v:f eqn="prod #0 #1 10800">
<v:f eqn="sum #0 0 @3">
</v:f></v:f></v:f></v:f></v:f></v:formulas>
<v:path o:connectangles="270,180,90,0" o:connectlocs="@0,0;0,10800;@0,21600;21600,10800" o:connecttype="custom" textboxrect="@4,@1,21600,@2">
<v:handles>
<v:h position="#0,#1" xrange="0,21600" yrange="0,10800">
</v:h></v:handles>
</v:path></v:stroke></v:shapetype><v:shape fillcolor="#c9f" id="_x0000_s1034" style="height: 24pt; margin-left: -5.35pt; margin-top: 56.65pt; position: absolute; rotation: 8501579fd; width: 1in; z-index: 251660800;" type="#_x0000_t66"><v:shape id="_x0000_s1030" style="height: 36pt; margin-left: -18pt; margin-top: 106.85pt; position: absolute; width: 78pt; z-index: 251655680;" type="#_x0000_t202">
<v:fill color2="#9c0" focus="-50%" rotate="t" type="gradient">
<v:textbox style="mso-next-textbox: #_x0000_s1030;">
</v:textbox></v:fill></v:shape></v:shape></v:shape></v:shape><br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td style="background-color: transparent; border: rgb(0, 0, 0);">
</td>
</tr>
</tbody></table>
<v:shape id="_x0000_s1027" style="height: 36pt; margin-left: 294pt; margin-top: 16.45pt; position: absolute; width: 102pt; z-index: 251652608;" type="#_x0000_t202">
<v:fill color2="#36f" focus="-50%" rotate="t" type="gradient">
<v:textbox style="mso-next-textbox: #_x0000_s1027;">
</v:textbox></v:fill></v:shape><br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td style="background-color: transparent; border: rgb(0, 0, 0);"><div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;">
<br /></div>
</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<br />
<div align="right" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: right;">
<br /></div>
<br />
<div align="right" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: right;">
<br /></div>
<br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<span style="color: magenta; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span></div>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-79194100310987977162012-06-24T01:30:00.000-07:002012-06-24T01:48:32.021-07:00ความขัดแย้ง<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Angsana New","serif";"> ในแต่ละวันเราจะพบกับความขัดแย้ง
และข่าวของความขัดแย้งทั้งในองค์การ และสังคมทั่ว ๆ ไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ตลอดจนระหว่างประเทศ ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา
แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงพ้น
ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมดังที่เหมาเจ๋อตง
กล่าวไว้ว่า </span><span style="color: blue; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">“<span lang="TH">ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีโลก</span>”<span lang="TH">
ดังนั้นผู้เขียนจึงเสนอบทความนี้เพื่อท่านผู้อ่านได้ทำความเข้าใจในเรื่องความหมาย
และแนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้ง
อันนำไปสู่การปรับแนวคิดให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุขถึงแม้ว่าจะมีความขัดแย้งกัน</span></span></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-_XUHkpPI62k/T-bOa9xfeoI/AAAAAAAAABo/9hmDd3iu9Zc/s1600/4542.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="234" src="http://1.bp.blogspot.com/-_XUHkpPI62k/T-bOa9xfeoI/AAAAAAAAABo/9hmDd3iu9Zc/s320/4542.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<br /></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /></div>
<b><span lang="TH" style="color: purple; font-family: "Angsana New","serif";"><span style="color: #6fa8dc; font-size: x-large;"><span style="color: blue;">ความหมายของความขัดแย้ง</span> </span></span></b><br />
<b><span lang="TH" style="color: purple; font-family: "Angsana New","serif";"><span style="color: #6fa8dc; font-size: x-large;"> <span style="color: black; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: small;"> </span></span></span></b><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: Verdana, sans-serif;">ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2525</span><span style="color: #993300;"><o:p></o:p></span></span><br />
<div style="text-align: left;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="color: black;">
<span lang="TH" style="color: #993300;">ขัด
(หน้า 137) เป็นคำกิริยา หมายถึง ไม่ทำตาม ฝ่าฝืน ขืนไว้ แย้งกัน ไม่ลงรอยกัน </span><span lang="TH" style="color: #993300;">แย้ง
(หน้า 675) เป็นคำกิริยา หมายถึง ไม่ตรงหรือลงรอยเดียวกัน ต้านไว้ ทานไว้ </span></span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;">สรุปความว่า
ความขัดแย้ง หมายถึง การกระทำที่ไม่ลงรอย ขัดขืน หรือต่อต้านกัน</span></span></span><br />
</div>
<div style="text-align: left;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="color: black;">
</span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span>พจนานุกรมของเวบสเตรอร์
(</span><span style="color: #993300;">Webster’s Ninth New Collegiate Dictionary<span lang="TH">)
ได้ให้ความหมายของคำว่า ความขัดแย้ง (</span>Conflict<span lang="TH">) ไว้ดังนี้
(หน้า 276)</span><o:p></o:p></span></span></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="color: black;">
</span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;">1.<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การต่อสู้ การรบพุ่ง การสงคราม</span><span style="color: #993300;"><o:p></o:p></span></span></span></div>
<span style="color: black;"><span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span lang="TH" style="color: #993300;">2.<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>(</span><span style="color: #993300;">a<span lang="TH">)
การแข่งขันหรือการกระทำที่ตรงกันข้าม (ซึ่งสืบเนื่องมาจาก ความต่างกันในเรื่องความคิดเห็น
ความสนใจ หรือบุคลิกภาพ)</span><o:p></o:p></span></span></span><br />
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="color: black;">
</span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>(</span><span style="color: #993300;">b<span lang="TH">)<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ความคับข้องใจ ซึ่งเกิดมาจากความปรารถนาแรงขับ
ความต้องการที่ขัดกันทั้งภายในตัวบุคคลแลภายนอก</span><o:p></o:p></span></span></span><br />
<span style="color: black;"><span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span lang="TH" style="color: #993300;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span>3.<span style="mso-spacerun: yes;">
</span>ได้มีผู้รู้ให้ความหมายของคำว่า ความขัดแย้งไว้ต่าง ๆ กัน ความหมายที่สำคัญ
ๆ</span><span style="font-size: large;"><span lang="TH"><span style="font-size: small;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span style="color: #993300;">มีดังนี้</span></span></span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif";"><o:p></o:p></span></span></span></span><br />
<span style="font-size: large;"><span style="color: black;">
</span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif";"><span style="mso-tab-count: 2;"><span style="font-size: x-large;"> -</span> </span><span style="font-family: Verdana, sans-serif; font-size: small;">ความขัดแย้ง เป็นการต่อสู้ดิ้นรนระหว่างผู้ที่ไม่ลงรอยกัน
(ทั้งบุคคลหรือกลุ่ม) ในด้านความต้องการ ความปรารถนา ความคิด และผลประโยชน์
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหรือกลุ่มที่เผชิญหน้าไม่สามารถหาข้อยุติที่เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายได้</span></span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif";"><o:p></o:p></span></span></span><br />
<span style="color: black;">
<span style="font-size: x-large;"><span style="color: #b45f06; font-size: large;">-</span> </span></span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">ความขัดแย้ง
เป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องต้องกัน ระหว่างกลุ่มที่มีความสนใจต่ากัน </span></span><br />
<span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="font-size: x-large;"> -</span> </span></span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">ความขัดแย้ง
เป็นกระบวนการหนึ่งที่เริ่มต้นเมื่อกลุ่มหนึ่งรับรู้ว่าตนถูกทำลายจากกลุ่มอื่นหรือส่อเค้าว่ากลุ่มอื่นตั้งท่าจะทำลายตน</span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span><br />
<span style="color: black;">
<span style="color: #b45f06; font-size: large;">-</span> </span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">ความขัดแย้ง หมายถึง
สภาพการณ์ที่ทำให้คนตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะตัดสินใจหรือตกลงหาข้อยุติอันเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายได้</span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span><br />
<span style="color: black;">
</span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="font-size: x-large;">- </span>ความขัดแย้ง หมายถึง
สถานการณ์ที่คนมีความเห็น ความเชื่อไม่ตรงกัน และตกอยู่ในภาวะที่ไม่อาจจะตกลงหาข้อยุติที่น่าพอใจได้ทั้งสองฝ่าย
หากปล่อยปละละเลย ไม่หาทางทำความเข้าใจอาจก่อให้เกิดความแตกแยก อิจฉาริษยา
ซึ่งมีผลกระทบไปถึงความเสื่อมโทรมของหน่วยงานได้</span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span><br />
<span style="color: black;">
<span style="color: #b45f06; font-size: large;">-</span> </span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">ความขัดแย้ง หมายถึง สภาพการณ์ที่บุคคล
2 ฝ่าย มีความคิดเห็น
หรือความเชื่อที่ไม่ตรงกันและยังไม่สามารถหาข้อยุติที่สอดคล้องต้องกันได้</span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span><br />
<span style="color: black;">
<span style="color: #b45f06; font-size: large;">-</span> </span><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">ความขัดแย้งขององค์การ
คือ ความไม่เห็นพ้องต้องกันระหว่างสมาชิก หรือกลุ่มขององค์การสองกลุ่ม หรือมากกว่าเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับว่า
พวกเขาจะต้องมีส่วนร่วมในทรัพยากรที่จำกัด หรืองานต่าง ๆ
หรือพวกเขามีความแตกต่างในด้านสถานภาพ เป้าหมาย ค่านิยม การรับรู้ ทัศนคติ
ความเชื่อซึ่งแตกต่างกันและไม่เห็นพ้องต้องกัน
ต่างก็พยายามแสดงทัศนะของพวกเขาให้เด่นกว่าบุคคลอื่น
หรือความต้องการของเขาไม่ได้รับการตอบสนอง</span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span>จากความหมายดังกล่าวมาพอสรุปได้ว่า
ความขัดแย้งเป็นความรู้สึกนึกคิด หรือการกระทำที่ขัดกันทั้งภายในตนเอง
ระหว่างบุคคล และระหว่างกลุ่ม ซึ่งมีผลทำให้เกิดการแข่งขัน หรือการทำลายกัน</span><span style="color: #993300; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<br /></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<span style="color: black;"><span style="font-size: x-large;"><b><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Angsana New","serif";">แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้ง</span></b><b><span style="color: blue; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></b></span></span></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="color: black;"><b><span lang="TH" style="color: green; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></b><span lang="TH" style="color: green; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">ขอตั้งคำถามวัดความรู้สึกของท่านผู้อ่านว่า
</span></span><span style="color: green; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="color: black;">“<span lang="TH">ท่านมีความรู้สึกอย่างไร
เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในครอบครัวของท่าน หรือในหน่วยงานของท่าน ?</span>”</span><span lang="TH"><span style="color: black;"> ท่านมีความรู้สึกอย่างไร แล้วถ้าท่านจะถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นภาพวาด
ท่านจะวาดเป็นภาพอะไรให้ตรงกับความรู้สึกของท่านมากที่สุด (นึกไว้หรือจะวาดจริง ๆ
สัก 1 ภาพก็ได้</span><span style="color: black;">)</span></span><span style="color: black;"><o:p></o:p></span></span><span style="color: black;"></span></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<br /></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<span style="color: magenta;"><span style="font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New","serif";"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span><b>(เฉลย)</b></span><b><span style="color: magenta; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></b></span></span></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> <span style="color: #073763;"> </span></span><span style="color: #073763;">ถ้าท่านวาดเป็นภาพคนหน้าบึ้งหรือโกรธ
(คนส่วนมากวาดภาพนี้) หัวใจแตกร้าว, คนด่าทอกัน, เส้นยุ่ง ๆ คนหันหลังให้กัน
คนงัดข้อกัน วิวาทชกต่อยกัน ตลอดจนภาพที่มีไม้ มีด ปืน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ลูกระเบิดเข้ามาเกี่ยวข้อง ฯลฯ
ขอเฉลยว่าท่านมีแนวความคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งแบบโบราณ (เดิม)
มองความขัดแย้งเป็นโทษเป็นปัญหา</span></span><span style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<span style="color: #073763;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="color: #073763;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span>แล้วภาพแบบใดจึงจะไม่โบราณหรือทันสมัย
(ใหม่) ภาพที่เป็นกลาง ๆ ได้แก่ เครื่องหมาย + กับ </span><span style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">–<span lang="TH">
ลูกศรไปคนละทางภาพที่แสดงถึงผู้มีแนวความคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ทันสมัย<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>(จะมีจำนวนน้อยมาก)
ตัวอย่างภาพที่พบ เช่น เป็นภาพเส้นไม้หรือหวายขัดกัน ผู้วาดอธิบายว่า ไม้ไผ่อ่อน ๆ
แต่ละเส้นถ้านำมาขัดกัน จะทำให้เกิดเป็นกระดัง ชะลอม
หรือรั้วที่แข็งแรงให้ประโยชน์ได้ดี
เป็นการมองว่าความขัดแย้งทำให้เกิดประโยชน์แก่องค์การได้
ทำให้เกิดการตัดสินใจที่รอบคอบขึ้น </span><o:p></o:p></span></span></div>
<span style="color: #073763;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="color: #073763;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span>ผู้วาดอธิบายว่า
ความขัดแย้งถ้าเรามองผิวเผินเปรียบเสมือนกองขยะเป็นสิ่งน่ารังเกียรติ มีกลิ่นเหม็น
แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งกองขยะ (ความขัดแย้ง) นั้น มีประโยชน์
เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้เจริญออกดอกสวยงามได้
ความขัดแย้งก็เช่นเดียวกันมีประโยชน์ต่อองค์การ เป็นเชื้อ เป็นปุ๋ย
ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
สร้างความเจริญให้แก่องค์การได้วาดภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอธิบายว่า สังคมประชาธิปไตย
ย่อมต้องมีความคิดที่หลากหลายและขัดแย้งกันได้ถือเป็นเรื่องธรรมดา</span><span style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<span style="color: #073763;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<br /></div>
<span style="color: #073763;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<span style="color: #073763;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span>แนวคิดหรือทัศนะเกี่ยวกับความขัดแย้ง
สรุปได้ว่าแนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้ง<span style="mso-spacerun: yes;">
</span>แบ่งได้ชัดเจน 2 แนวคิดคือ</span><span style="color: navy; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<span style="color: #073763;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm;">
<span style="color: #073763;"><span lang="TH" style="color: maroon; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span>1.<span style="mso-spacerun: yes;">
</span>แนวคิดเดิม ถือว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และเป็นผลร้ายทั้งในส่วนบุคคลและองค์การ
เป็นสัญญาณของความผิดพลาดบางอย่างขององค์การ หรือเป็นความล้มเหลวของการบริหาร
คนส่วนมากจึงหลีกเลี่ยงและกลัวการมีความขัดแย้ง
ความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งที่ต้องเก็บกด หลีกเลี่ยง หรือกำจัดให้หมดไป
ใครก่อปัญหาความขัดแย้งคือตัวแสบขององค์การ</span><span style="color: maroon; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></div>
<span style="color: #073763;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="color: #073763;"><span lang="TH" style="color: maroon; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>2.<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>แนวคิดใหม่
ถือว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติที่มีในสังคม
และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มีทั้งคุณและโทษ
ความขัดแย้งจึงมิใช่สิ่งแปลกประหลาดหรือสิ่งที่น่ารังเกียจแต่เป็นสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจจนสามารถใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งได้
โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย ต้องอาศัยความขัดแย้งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
เพราะจากการขัดแย้งนั้นจะเกิดมติอันถูกต้อง
เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและบ้านเมืองอย่างแท้จริง</span><span style="color: maroon; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;">”<span lang="TH">
ซึ่งตรงกับแนวคิดที่ว่า
ความขัดแย้งบางอย่างจำเป็นต้องมีเพื่อเป็นการกระตุ้นให้องค์การไม่เฉื่อยชา
และมีการเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแต่ความขัดแย้งนั้นจะต้องอยู่ในระดับที่พอเหมาะไม่สูงหรือต่ำเกินไป</span><o:p></o:p></span></span></div>
<span style="color: #073763;">
</span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm -10.4pt 0pt 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="color: #073763;"><span lang="TH" style="color: maroon; font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span></span><br />
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/2InWePKQ2xY?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/6FteCUaQjmo?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<span style="color: #073763;">
</span><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 18pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;"><br clear="all" style="mso-special-character: line-break; page-break-before: always;" />
</span></b>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-79431569844375507442012-06-24T01:01:00.000-07:002012-06-24T01:01:44.929-07:00การพึ่งพาอาศัยกัน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-Oysd-ssCkOU/T-bHwUeDn8I/AAAAAAAAABc/guXhsOsXAzI/s1600/_1_~1.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://3.bp.blogspot.com/-Oysd-ssCkOU/T-bHwUeDn8I/AAAAAAAAABc/guXhsOsXAzI/s320/_1_~1.JPG" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="sites-canvas-main" id="sites-canvas-main">
<div id="sites-canvas-main-content">
<table cellspacing="0" class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><tbody>
<tr><td class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1"><div dir="ltr">
<span style="color: black;"><span style="font-weight: bold;"> <span> <span> </span></span></span><b><span style="color: orange; font-size: large;">การพึ่งพาอาศัยกัน (Interdependence)</span></b> ได้แก่ ความเข้าใจตระหนักรู้ถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกันของผู้คน ถิ่นฐาน เศรษฐกิจ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เข้าใจสภาวการณ์ในระดับโลก สามารถเรียนรู้ที่จะจัดการกับความซับซ้อนได้</span><div>
<span style="color: black;"><br /></span></div>
<span style="color: black;"><b><span style="color: orange; font-size: large;">การพึ่งพากัน</span> </b></span><div>
<span style="color: black;"><br /><span> <span> <span> </span></span></span>การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของประเทศต่างๆในด้านการรวมตัวเป็นองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจก็ เนื่องมาจากความมั่นคงและสวัสดิการของประเทศ ซึ่งการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้เพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วในภาวะเศรษฐกิจที่มีการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และเน้นภาคธุรกิจหรือ ผลผลิตทางภาคอุตสาหกรรม ยิ่งกว่านั้น เมื่อกระบวนการผลิตใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น ย่อมทำให้ สินค้าและบริการออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบการค้า มักจะถือกันว่าเป็นรูปแบบ ของกระบวนการ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ อัตราส่วนของการค้าต่อผลิตภัณฑ์ มวลรวมประชาชาติ ขยายตัวมากขึ้นย่อมหมายถึงประเทศนั้น มีการพึ่งพิงระบบการค้า ระหว่างประเทศมากขึ้นด้วย ทำให้การเจริญเติบโตของประเทศต้องอาศัยการพึ่งพากันทางการค้า และการลงทุน ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ </span><div>
<span style="color: black;"><br /></span><div>
<span style="color: black;"><span> <span> <span> </span></span></span> ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยน เทคโนโลยีและทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศสมาชิกในองค์กรได้รับผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆได้ เช่น ความร่วมมือกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมกลุ่มดังกล่าว และได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มในด้าน การพึ่งพาอาศัยกัน เช่น แต่ละประเทศจะผลิตสินค้าหรือใช้ปัจจัยการผลิตที่ประเทศตนเอง สามารถผลิตได้ กล่าวคือ ประเทศไทยผลิตเกลือหินและโซดาแอช อินโดนีเซียและ มาเลเซียผลิตปุ๋ยยูเรีย สิงคโปร์ผลิตเครื่องยนต์ดีเซล และฟิลิปปินส์ผลิตปุ๋ยฟอสเฟต ซึ่งแต่ละประเทศมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทำให้ส่งสินค้าออกไปขายยังต่างประเทศได้มากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวมากขึ้นด้วย ดังนั้นการพึ่งพาอาศัยกันในรูปของการร่วมมือทางเศรษฐกิจ ของแต่ละประเทศ ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด และองค์กรที่มีความเข้มแข็งสามารถต่อรองทางการค้ากับประเทศต่างๆได้</span></div>
<div>
<span style="color: black;"><br /></span></div>
<div>
<b><span style="color: orange; font-size: large;">การอยู่ร่วมกันในสังคม</span></b></div>
<div>
</div>
<span style="color: black;"><span> <span> <span> </span></span></span>การอยู่ร่วมกันในชุมชนดั้งเดิมนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพี่น้องไม่กี่ตระกูล ซึ่งได้อพยพ ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได้ทั้งชุมชน มีคนเฒ่าคนแก่ที่ชาวบ้าน เคารพนับถือเป็นผู้นำ หน้าที่ของผู้นำไม่ใช่การ สั่ง แต่เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา มีความแม่นยำในกฏระเบียบประเพณีการดำเนินชีวิต ตัดสินไกล่เกลี่ยหากเกิดความขัดแย้ง ช่วยกันแก้ไข ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น"ผิดผี" คือ ผีของบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้สร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ไว้ เช่น กรณีที่ชายหนุ่มถูกเนื้อ ต้องตัวหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น หากเกิด การผิดผีขึ้นมา ก็ต้องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมี คนเฒ่าคนแก่เป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการ ว่ากล่าวสั่งสอนและชดเชยการทำผิดนั้นตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้</span><br />
<span style="color: black;"><br /> <span> <span> <span> </span></span></span>ชาวบ้านอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยามเกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามที่โจร ขโมยวัวควายข้าวของ การช่วยเหลือกันทำงาน ที่เรียกกันว่า การลงแขก ทั้งแรงกายแรงใจ ที่มีอยู่ก็จะแบ่งปันช่วยเหลือเอื้ออาทรกัน การ แลกเปลี่ยนสิ่งของ อาหารการกิน และอื่น ๆ จึงเกี่ยวข้องกับวิถีของชุมชน ชาวบ้านช่วยกัน เก็บเกี่ยวข้าว สร้างบ้าน หรืองานอื่นที่ต้องการ คนมาก ๆ เพื่อจะได้เสร็จโดยเร็ว ไม่มีการจ้าง กรณีตัวอย่างจากการปลูกข้าวของชาวบ้านถ้าปีหนึ่งชาวนาปลูกข้าวได้ผลดี ผลิตผลที่ได้จะ ใช้เพื่อการบริโภคในครอบครัว ทำบุญที่วัด เผื่อแผ่ให้พี่น้องที่ขาดแคลน แลกของ และเก็บ ไว้เผื่อว่าปีหน้าฝนอาจแล้ง น้ำอาจท่วม ผลิตผลอาจไม่ดี</span><br />
<span style="color: black;"><br /> <span> <span> <span> </span></span></span>ในชุมชนต่าง ๆ จะมีผู้มีความรู้ความสามารถหลากหลาย บางคนเก่งทางการรักษาโรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยง สัตว์ บางคนทางด้านดนตรีการละเล่น บางคน เก่งทางด้านพิธีกรรม คนเหล่านี้ต่างก็ใช้ความ</span><br />
<span style="color: black;"><br /> สามารถเพื่อประโยชน์ของชุมชน โดยไม่ถือเป็น อาชีพที่มีค่าตอบแทน อย่างมากก็มี "ค่าครู"แต่เพียงเล็กน้อย ซึ่งปกติแล้ว เงินจำนวนนั้น ก็ใช้สำหรับเครื่องมือประกอบพิธีกรรม หรือ เพื่อทำบุญที่วัดมากกว่าที่หมอยาหรือบุคคลผู้นั้น</span><br />
<span style="color: black;"><br /><span> <span> <span> </span></span></span>จะเก็บไว้ใช้เอง เพราะแท้ที่จริงแล้ว "วิชา" ที่ ครูถ่ายทอดมาให้แก่ลูกศิษย์จะต้องนำไปใช้เพื่อ ประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วน ตัว การตอบแทนจึงไม่ใช่เงินหรือสิ่งของเสมอไป แต่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยวิธีการต่าง ๆ </span><br />
<span style="color: black;"><br />ด้วยวิถีชีวิตเช่นนี้ จึงมีคำถามเพื่อเป็นการ สอนคนรุ่นหลังว่า ถ้าหากคนหนึ่งจับปลาช่อน ตัวใหญ่ได้หนึ่งตัว ทำอย่างไรจึงจะกินได้ทั้งปี คนสมัยนี้อาจจะบอกว่า ทำปลาเค็ม ปลาร้า หรือ เก็บรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่คำตอบที่ถูกต้อง คือ แบ่งปันให้พี่น้องเพื่อนบ้าน เพราะเมื่อ เขาได้ปลา เขาก็จะทำกับเราเช่นเดียวกัน<br /> ชีวิตทางสังคมของหมู่บ้านมีศูนย์กลางอยู่ที่วัด กิจกรรมของส่วนรวมจะทำกันที่วัด งานบุญประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนการละเล่นมหรสพ พระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตใจ เป็นครูที่สอนลูก หลานผู้ชายซึ่งไปรับใช้พระสงฆ์ หรือ "บวชเรียน"</span><br />
<span style="color: black;"><br /> <span> <span> </span></span>ทั้งนี้เพราะก่อนนี้ยังไม่มีโรงเรียน วัดจึงเป็นทั้งโรงเรียนและหอประชุมเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ต่อเมื่อโรงเรียนมีขึ้นและแยกออกจากวัด บทบาท ของวัดและของพระสงฆ์จึงเปลี่ยนไป<br /> งานบุญประเพณีในชุมชนแต่ก่อนมีอยู่ทุก เดือน ต่อมาก็ลดลงไปหรือสองสามหมู่บ้านร่วมกันจัด หรือผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เช่น งานเทศน์มหาชาติ ซึ่งเป็นงานใหญ่ หมู่บ้าน เล็ก ๆ ไม่อาจจะจัดได้ทุกปี งานเหล่านี้มีทั้งความเชื่อ พิธีกรรมและความสนุกสนาน ซึ่งชุมชน แสดงออกร่วมกัน</span></div>
</div>
</div>
</td></tr>
</tbody></table>
</div>
</div>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8753876777487575874.post-30116090026174031972012-06-24T00:46:00.000-07:002012-06-24T00:48:44.108-07:00ความเป็นพลเมืองโลก<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-6Ztqno-5tr4/T-a8p_92oLI/AAAAAAAAABQ/DVZzMjaoH78/s1600/525.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="264" src="http://4.bp.blogspot.com/-6Ztqno-5tr4/T-a8p_92oLI/AAAAAAAAABQ/DVZzMjaoH78/s320/525.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="sites-canvas-main">
<table cellspacing="0" class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><tbody>
<tr><td class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1"><div dir="ltr">
<span style="font-size: large;"><span style="color: cyan;"><span style="color: #6aa84f;">สถาบันทางสังคม</span></span></span><span style="font-weight: bold;">ความหมายของสถาบันทางสังคม</span><br />
หมายถึง แบบอย่างพฤติกรรมที่ตั้งขึ้นและปฏิบัติสืบต่อกันมาและเป็นที่ยอมรับในสังคม ประเพณีต่าง ๆ สถาบันครอบครัว สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันการศึกษา<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ</span><br />
<span style="font-weight: bold;">1. บุคคล</span> คือ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ หมายถึงบุคคลที่ได้จัดระเบียบแล้ว เช่น มีสถานภาพ มีบทบาท มีการควบคุมทางสังคม มีการจัดระเบียบสังคมและมีค่านิยม<br />
<span style="font-weight: bold;">2. หน้าที่ของสถาบันทางสังคม</span> คือ วัตถุประสงค์ในการสนองความต้องการของสังคม<br />
<span style="font-weight: bold;">3. แบบแผนการปฏิบัติ</span> หรือ พฤติกรรม คือ กฎเกณฑ์ บรรทัดฐาน ที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติของสมาชิกในสังคม</div>
<div dir="ltr">
<br />
<span style="font-weight: bold;"><span style="color: #6aa84f; font-size: large;">ประเภทของสถาบันทางสังคม</span></span><br />
<span style="font-weight: bold;">สถาบันครอบครัว</span><br />
1. องค์การทางสังคม แบ่งออกเป้น 2 ประเภท คือ<br />
1.1 ครอบครัวเดี่ยว คือ ครอบครัวที่ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก<br />
1.2 ครอบครัวขยาย คือ ครอบครัวขนาดใหญ่ ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกและญาติ ๆ<br />
2. หน้าที่ สร้างสรรค์สมาชิกใหม่ เลี้ยงดูผู้เยาว์ ให้ความรักความอบอุ่น อบรมสั่งสอนและกำหนดสถานภาพทางสังคม<br />
3. แบบแผนการปฏิบัติ คือ ให้แนวทางในการปฏิบัติต่อกันในครอบครัว</div>
<div dir="ltr">
<br />
<span style="font-weight: bold;">สถาบันการศึกษา</span> ทำหน้าที่ ถ่ายทอดความรู้ ความคิดให้แก่สมาชิกในสังคมเพื่อให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้า รู้จักในการแก้ปัญหาด้วยหลักและวิธีการอันเหมาะสม<br />
1. องค์การทางสังคม ได้แก่ กลุ่มคนที่ทำงานในกระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย สภาการศึกษา กลุ่มครู อาจารย์ <br />
2. หน้าที่ ของสถาบันการศึกษา<br />
2.1 การพัฒนาคน<br />
2.2 การให้ความรู้ ความเข้าใจ และความสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์<br />
2.3 การสอน และการส่งเสริมในด้านวิชาชีพและศิลปวัฒนธรรม<br />
2.4 จัดแหล่งความรู้และวิทยาการที่อำนวยความสะดวกต่อสังคม<br />
3. แบบแผนการปฏิบัติ คือ การจัดการเกี่ยวกับการศึกษา และการวางมาตราฐานการศึกษา</div>
<div dir="ltr">
<br />
<span style="font-weight: bold;">สถาบันศาสนา</span> เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ประกอบด้วย 3 ประการ คือ ความเชื่อ การแสดงออก ความรู้สึกทางอารมณ์<br />
องค์ประกอบของสถาบันศาสนา<br />
1. องค์การทางสังคม เช่น กลุ่มเจ้าอาวาส กลุ่มพระ กลุ่มชี กลุ่มบาทหลวง<br />
2. หน้าที่ของสถาบันทางการศาสนา<br />
- การให้การอบรมสั่งสอน<br />
- การปกป้อง คุ้มครอง<br />
- การรักษากฎ ศีลธรรมของสังคม<br />
- การขัดเกลาพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางสังคม<br />
3. แบบแผนการปฏิบัติ เช่น การปฏิบัติตามบทบัญญัติ หลักธรรม ประเพณี</div>
<div dir="ltr">
<br />
<span style="font-weight: bold;">สถาบันเศรษฐกิจ</span> เป็นสถาบันเกี่ยวกับความอยู่รอดของมนุษย์ในการดำรงชีวิตในสังคม<br />
องค์ประกอบของสถาบันเศรษฐกิจ<br />
1. องค์การทางสังคม ได้แก่ กลุ่มที่ทำงานในธนาคาร บริษัท ห้างร้าน โรงงาน<br />
2. หน้าที่ของสถาบันทางเศรษฐกิจ<br />
- สนองความต้องการทางเศรษฐกิจ<br />
- จัดอำนวยความสะดวกในทางเศรษฐกิจ<br />
- พัฒนาความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ<br />
- ช่วยเหลือเกื้อกูลให้มีการบริโภคอย่างเพียงพอและทั่วถึง<br />
3. แบบแผนการปฏิบัติ ได้แก่ การจัดระบบทรัพย์ มีเงื่อนไขสัญญา การอาชีพ การแลกเปลี่ยนและการตลาด</div>
<div dir="ltr">
<br />
<span style="font-weight: bold;">สถาบันทางการเมืองการปกครอง</span><br />
องค์ประกอบของสถาบันการเมืองการปกครอง<br />
1. องค์การทางสังคม ได้แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ และรัฐบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ราษฎร<br />
2. หน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครอง<br />
- รักษาความสงบเรียบร้อย<br />
- ระงับข้อขัดแย้งระหว่างบุคคล<br />
- คุ้มครองบุคคลให้ได้รับความปลอดภัย<br />
3. แบบแผนการปฏิบัติ ได้แก่ การจัดให้มีกฎหมายต่าง ๆ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ เช่นกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งและพาณิชย์<br />
<br />
</div>
</td></tr>
</tbody></table>
</div>Onanong laothawonhttp://www.blogger.com/profile/08241012742708567546noreply@blogger.com0